วันอังคารที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

มิลินทปัญหา ตอนที่ 11

- ตอนที่ ๑๑ -


  • มิลินทปัญหา วรรคที่ ๗
  • ปัญหาที่ ๑ ถาม สติเกิดแต่อาการเท่าไร

      (เป็นสำนวนแปลของนายยิ้ม ปัณฑยางกูร จากหนังสือ "ปัญหาพระยามิลินท์" ฉบับหอสมุดแห่งชาติ)
     พระเจ้ามิลินท์ตรัสถามว่า "ดูก่อนพระนาคเสน สติความระลึกหรือความจำ เกิดแต่อาการเท่าไร"
     พระนาคเสนทูลตอบว่า "ขอถวายพระพร เกิดแต่อาการ ๑๗ อย่างคือ
          (๑) เกิดแต่ความรู้ยิ่ง ดังผู้รู้ประวัติการณ์ที่ล่วง ๆ มาแล้ว ความรู้นั้นย่อมเป็นแนวให้ระลึกถึงเหตุการณ์แต่หลังได้
          (๒) เกิดแต่การที่ได้กระทำเครื่องหมายไว้
          (๓) เกิดแต่การได้ขยับฐานะสูงขึ้น ซึ่งเป็นเหตุให้นึก ให้จำกิจการที่ตนได้กระทำมาแต่หลัง
          (๔) เกิดแต่การได้รับความสุข ซึ่งชวนให้สาวเอากิจการที่ล่วงแล้วมานึก มาคิด เพื่อไต่สวนหาเหตุ
          (๕) เกิดแต่การได้รับความทุกข์ ซึ่งชวนให้หวนไปนึกถึงเหตุแห่งความทุกข์นั้น ๆ
          (๖) เกิดแต่การได้รู้เห็นสิ่งที่คล้ายกัน ซึ่งเป็นการเตือนให้จำอีกสิ่งหนึ่งได้
          (๗) เกิดแต่การรู้เห็นสิ่งที่ตรงกันข้าม เช่น เห็นสีขาว ทำให้นึกถึงสีดำได้
          (๘) เกิดแต่การได้รับคำเตือน
          (๙) เกิดแต่รู้เห็นตำหนิ หรือลักษณะทรวดทรง
          (๑๐) เกิดแต่นึกขึ้นได้โดยลำพัง
          (๑๑) เกิดแต่การพินิจพิเคราะห์
          (๑๒) เกิดแต่การนับจำนวนไว้
          (๑๓) เกิดแต่การทรงจำไว้ได้ตามธรรมดา
          (๑๔) เกิดแต่การอบรม เช่นผู้ที่กระทำใจได้แน่วแน่ ในเมื่อกระทำกิจการ สามารถรวบรวมกำลังใจมาคิด มานึก เฉพาะในกิจการอย่างนั้น แม้ว่ากิจการนั้น จะได้ผ่านหูผ่านตามานานแล้ว เมื่อมานึกมาคิดขึ้นในภายหลัง ก็ยังคงจำได้ระลึกได้
          (๑๕) เกิดแต่การได้จดได้เขียนไว้
          (๑๖) เกิดแต่การเก็บไว้
          (๑๗) เกิดแต่การเคยพบ เคยเห็น"
    "มากอย่าง"

  • ปัญหาที่ ๒ ถามว่า ผู้ที่ทำบาปมาตั้ง ๑๐๐ ปี ถ้าเวลาจะตาย ทำจิตให้ผ่องใสได้ก็ไปสุคคติ จะไปได้จริงหรือ
      (เป็นสำนวนแปลของนายยิ้ม ปัณฑยางกูร จากหนังสือ "ปัญหาพระยามิลินท์" ฉบับหอสมุดแห่งชาติ)
     พระเจ้ามิลินท์ตรัสถามว่า
     "ดูก่อนพระนาคเสน คำที่เธอว่าผู้ที่ทำบาปกรรมเรื่อยมาแม้ตั้ง ๑๐๐ ปี แต่ถ้าเวลาจะตาย มีสติระลึกถึงพระคุณของพระพุทธเจ้าได้ ก็ย่อมนำไปเกิดในสวรรค์ ส่วนผู้ที่ทำบาปแม้แต่ครั้งเดียวก็ย่อมไปเกิดในนรกนั้น ดูไม่สมเหตุผล ข้าพเจ้าก็ยังไม่เห็นด้วย"
     พระนาคเสนทูลตอบว่า
     "ขอถวายพระพร ศิลาแม้ก้อนเล็กโดยลำพังจะลอยน้ำได้หรือไม่"
     " ไม่ได้ "
     " ก็ถ้าศิลาตั้ง ๑๐๐ เล่มเกวียน แต่อยู่ในเรือ ศิลานั้นจะลอยน้ำได้หรือไม่ "
     " ก็ได้สิเธอ "


     " ขอถวายพระพร เปรียบบุญกุศลเหมือนเรือ บาปกรรมเหมือนศิลา อันคนที่กระทำบาปอยู่เสมอจนตลอดชีวิต ถ้าเวลาจะตาย มิได้ปล่อยจิตใจให้ตามระทมถึงบาปที่ตัวทำมาแต่หลังนั้น สามารถประคองใจไว้ในแนวแห่งกุศลอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น อาจทำใจให้แน่วอยู่เฉพาะแต่ในพระคุณของพระพุทธเจ้าเท่านั้น ถ้าตายลงในขณะแห่งจิตดวงนั้น ก็เป็นอันหวังได้ว่าไปสู่สุคติ ประหนึ่งศิลา ซึ่งมีเรือทานน้ำหนักไว้ มิให้จมลงฉะนั้น ส่วนผู้ที่กระทำบาปที่สุดแต่ครั้งเดียว ถ้าเวลาใกล้จะดับจิต เพียงแต่จิตหวนไปพัวพันถึงกิริยาอาการที่ตัวกระทำบาปกรรมไว้เท่านั้น จิตดวงนั้นก็เป็นหนักพอที่จะถ่วงตัวไปให้เกิดในนรก ซึ่งเหมือนศิลาที่เราโยนลงไปในน้ำ แม้จะก้อนเล็กก็คงจมเช่นเดียวกัน "
     " สมเหตุสมผลละ "



  •  ปัญหาที่ ๓ ถามว่า จะเพียรดับทุกข์ที่ยังไม่มาถึงจะได้หรือไม่
      (เป็นสำนวนแปลของนายยิ้ม ปัณฑยางกูร จากหนังสือ "ปัญหาพระยามิลินท์" ฉบับหอสมุดแห่งชาติ)
พระเจ้ามิลินท์ตรัสถามว่า
" ดูก่อนพระนาคเสน เธอพยายามฝึกฝนตน ด้วยมีประสงค์จะละทุกข์ที่ล่วงมาแล้วกระนั้นหรือ? "
พระนาคเสนทูลตอบว่า
" ขอถวายพระพร หามิได้ "
" หรือจะละทุกข์ที่ยังมาไม่ถึง "
" หามิได้ "
" ถ้าเช่นนั้น ก็จะละทุกข์ที่มีอยู่ในบัดนี้ "
" จะว่าเฉพาะทุกข์ในบัดนี้ก็ไม่ใช่ "
" ถ้าว่าอย่างนั้น เธอกระทำความพยายามทำไม "
" ขอถวายพระพร อาตมภาพพยายามด้วยหวังว่า จะดับทุกข์ที่มีอยู่ และจะมิให้ทุกข์อื่นซึ่งยังมาไม่ถึงเกิดขึ้น "
" ทุกข์ที่ยังมาไม่ถึงนั้น จะพยายามไม่ให้มีขึ้นได้หรือเธอ "
" ขอถวายพระพร ได้ "
" เธอฉลาดมาก พยายามจะละทุกข์ที่ยังมีมาไม่ถึงก็ได้ "
" ขอถวายพระพร พระองค์เคยถูกราชศัตรูยกพลมาเพื่อจะชิงเอาพระนครบ้างหรือไม่ "
" เคยถูกอยู่บ้าง "
" ในทันทีนั้น พระองค์ตรัสสั่งให้ลงมือขุดคู สร้างป้อมปราการ และฝึกหัดทหารซ้อมเพลงอาวุธ กระนั้นหรือ "
" หามิได้ กิจการเหล่านั้นต้องจัดทำเตรียมไว้ก่อน "
" นั่นพระองค์มีพระประสงค์อย่างไร จึงต้องทำเตรียมล่วงหน้าไว้เล่า "
" ประสงค์ว่า เมื่อเกิดสงครามขึ้น จะได้ทำการต่อสู้ข้าศึกได้ทันท่วงที มิฉะนั้น ถึงเวลาสงครามก็จะหาโอกาสจัดทำได้ยาก ที่สุดก็จะต้องพ่ายแพ้ข้าศึก และการที่เตรียมจัดทำไว้ในเวลาปกติย่อมทำได้ดี ทั้งเป็นที่เกรงขามของข้าศึกที่ยังมีมาไม่ถึงได้ด้วย "
" ขอถวายพระพร ข้าศึกที่ยังมีมาไม่ถึงก็มีด้วยหรือ "
" มีสิเธอ "
" เหตุผลที่พระองค์ตรัสถามเบื้องต้นก็มีเช่นนี้แล การที่อาตมภาพเพียรฝึกฝนกาย วาจา ใจ ไว้ให้อยู่ในความควบคุมของจิตที่อบรมดีแล้ว ก็เพื่อปราบทุกข์ที่มีอยู่ในบัดนี้ และเพื่อไว้ต่อสู้ หรือป้องกันทุกข์ที่ยังมาไม่ถึง เช่นเดียวกับพระองค์เหมือนกัน เมื่อเป็นเช่นนั้น ก็ย่อมเป็นช่องทางที่จะให้ความทุกข์เข้ามาผจญใจได้ เมื่อกำลังใจมีไม่พอที่จะต้านทาน ก็ต้องยอมเป็นเชลยแห่งความทุกข์เรื่อยไป เป็นอันหาโอกาสที่จะทำเช่นนี้ได้อีกยาก เพราะฉะนั้น อาตมภาพจึงต้องพยายามฝึกฝนตนไว้ก่อน "
" เธอว่านี้ชอบแล้ว "

  • ปัญหาที่ ๔ ถามเรื่องความไกลแห่งพรหมโลก

     “ ข้าแต่พระนาคเสน พรหมโลกไกลจากโลกนี้สักเท่าไร ?”
     “ ขอถวายพระพร พรหมโลกไกลจากโลกนี้มาก ถ้ามีผู้ทิ้งก้อนศิลาโตเท่าปราสาทลงมาจากพรหมโลก ก้อนศิลานั้นจะตกลงมาได้วันละ ๔๘,๐๐๐ โยชน์ ต้องตกลงมาถึง ๔ เดือน จึงจะถึงพื้นดิน ”
     “ ข้าแต่พระนาคเสน มีคำกล่าวว่า ภิกษุผู้มีฤทธิ์ ผู้มีอำนาจทางจิต หายวับจากชมพูทวีปนี้ ขึ้นไปปรากฏในพรหมโลกได้เร็วพลัน เหมือนกันกับบุรุษผู้มีกำลังคู้แขนเหยียดแขนฉะนั้นดังนี้ โยมไม่เชื่อ เพราะถึงเร็วอย่างนั้น ก็จักไปได้เพียงหลายร้อยโยชน์เท่านั้น”
     “ ขอถวายพระพร ชาติภูมิ ( ถิ้นกำเนิด ) ของมหาบพิตรอยู่ที่ไหน? ”
     “ อยู่ที่เกาะอลสัณฑะ พระผู้เป็นเจ้า ”
     “ ขอถวายพระพร เกาะอลสัณฑะไกลจากที่นี้สักเท่าไร ?”
     “ ไกลประมาณ ๒๐๐ โยชน์ ”
     “ ขอถวายพระพร มหาบพิตรเคยกระทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดไว้ในที่นั้น แล้วเคยนึกถึงมีอยู่หรือ ? ”
     “ มีอยู่ พระผู้เป็นเจ้า ”
     “ ขอถวายพระพร มหาบพิตรนึกไปถึงทีไกลประมาณ ๒๐๐ โยชน์ ได้โดยเร็วพลันไม่ใช่หรือ ? ”
     “ ถูกแล้ว พระผู้เป็นเจ้า ”

อธิบาย
ในอรรถกถาสังยุตตนิกาย ท่านกล่าวไว้ว่า
   ก้อนศิลาขนาดใหญ่ถูกทิ้งให้ตกลงมาจากพรหมโลกชั้นต่ำ ก้อนศิลานั้นตกลงมาวันคืนหนึ่ง เป็นระยะ ๔๘,๐๐๐ โยชน์ จึงจะถึงพื้นดินเป็นเวลา ๔ เดือน เพราะเหตุนั้น ระยะทางระหว่างพรหมโลกชั้น พรหมปาริสัชชา ถึงพื้นดิน บัณฑิตผู้ทราบนัย พึงทราบว่าเป็น ๕,๗๖๐,๐๐๐ โยชน์ ดังนี้

  • ปัญหาที่ ๕ ถามถึงความไปเกิดในพรหมโลกและเมืองกัสมิระ

     “ ข้าแต่พระนาคเสน ถ้ามีคน ๒ คนตายจากที่นี้แล้วไปเกิดในที่ต่างกัน คือคนหนึ่งขึ้นไปเกิดในพรหมโลก อีกคนหนึ่งเกิดในเมืองกัสมิระ คนสองคนนี้ คนไหนจะไปช้าไปเร็วกว่ากัน ? ”
     “ ขอถวายพระพร เท่ากัน ”
     “ ขอนิมนต์อุปมาด้วย ”
     “ ขอถวายพระพร ชาติภูมิของมหาบพิตรอยู่ที่ไหน ? ”
     “ อยู่กาลสิรคาม ”
     “ ขอถวายพระพร กาลสิรคามอยู่ไกลจากที่นี้สักเท่าไร? ”
     “ ประมาณ ๒๐๐ โยชน์ พระผู้เป็นเจ้า ”
     “ เมืองกัสมิระไกลจากที่นี้สักเท่าไร ? ”
     “ ประมาณ ๑๒ โยชน์ พระผู้เป็นเจ้า ”
     “ เชิญมหาบพิตรนึกถึงกาลสิรคามดูซิ ”
     “ โยมนึกแล้ว พระผู้เป็นเจ้า ”
     “ เชิญมหาบพิตรนึกถึงเมืองกัสมิระดูซิ ”
     “ โยมนึกแล้ว พระผู้เป็นเจ้า ”
     “ ขอถวายพระพร ทางไหนนึกถึงช้าเร็วกว่ากันอย่างไร ?”
     “ เท่ากัน พระผู้เป็นเจ้า ”
     “ ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ มหาบพิตร คือผู้ที่ขึ้นไปเกิดในพรหมโลก กับผู้ที่ไปเกิดในเมืองกัสมิระ เร็วเท่ากัน ไปถึงพร้อมกัน”
     “ ขอนิมนต์อุปมาอีก ”
     อุปมาด้วยเงาของนก
     “ ขอถวายพระพร ถ้ามีนก ๒ ตัวบินมาจับต้นไม้พร้อมกัน ตัวหนึ่งจับต่ำ ตัวหนึ่งจับสูง เงาของนกตัวไหนจะถึงพื้นดินก่อนกัน”
     “ ถึงพร้อมกัน พระผู้เป็นเจ้า ”
     “ ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ มหาบพิตร ”
     “ ขอนิมนต์อุปมาอีก ”
     อุปมาด้วยการแลดู
     “ ขอถวายพระพร ขอได้โปรดแลดูอาตมา ”
     “ โยมแลดูแล้ว ”
     “ ขอได้โปรดแหงนดู ดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์ ”
     “ โยมแหงนดูแล้ว ”
     “ ขอถวายพระพร มหาบพิตรแลดูอาตมากับแลดูดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์ อันอยู่ไกลถึง ๔๒,๐๐๐ โยชน์ ข้างไหนจะเร็วช้ากว่ากัน? ”
     “ เท่ากัน พระผู้เป็นเจ้า ”
     “ ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ มหาบพิตร คือผู้ที่ขึ้นไปเกิดในพรหมโลก กับผู้ที่ไปเกิดในเมืองกัสมิระ ไปถึงพร้อมกัน ”
     “ แก้เก่งมาก พระนาคเสน ”

  • ปัญหาที่ ๖ ถามถึงวรรณะสัณฐานของผู้ไปเกิดในโลกอื่น

     พระเจ้ามิลินท์ตรัสถามอีกว่า
     “ ข้าแต่พระนาคเสน โยมจักถามถึงเหตุอันยิ่งขึ้นไป คือผู้ไปสู่โลกอื่น ไปด้วยสีเขียว แดง เหลือง ขาว แสด เลื่อม อย่างไร...หรือ ไปด้วยเพศช้าง ม้า รถ อย่างไร ? ”
     “ ขอถวายพระพร ข้อนี้พระพุทธเจ้ามิได้ทรงบัญญัติไว้ในพระไตรปิฏกพุทธวจนะ”
     พระเจ้ามิลินท์ตรัสต่อไปว่า
     “ ข้าแต่พระนาคเสน ถ้าพระสมณโคดมไม่บัญญัติไว้ว่า ผู้ไปเกิดในโลกอี่น ในระหว่างทางนั้นต้องมีสีเขียว หรือสีเหลือง แดง ขาว แสด เลื่อม อย่างใดอย่างหนึ่งแล้ว จะว่าพระสมณโคดมทรงรู้จักทุกสิ่งได้หรือ...
     คำของ คุณาชีวก ผู้เป็นอาจารย์ใหญ่กล่าวไว้ว่า ผู้ไปสู่โลกอื่นไม่มี ก็ต้องเป็นของจริง ผู้ใดกล่าวว่า โลกนี้ไม่มี โลกอื่นไม่มี ผู้ไปเกิดในโลกอื่นไม่มี ผู้นั้นก็ได้ชื่อว่ากล่าวถูก ได้ชื่อว่าเป็นบัณฑิต ”
     พระนาคเสนตอบว่า
     “ ขอถวายพระพร ขอมหาบพิตรจงตั้งพระทัยฟังถ้อยคำของอาตมภาพ”
     “ โยมตั้งใจฟังผู้แล้ว ”
     “ ขอถวายพระพร ถ้อยคำของอาตมภาพที่พ้นออกไปจากปาก ไปถึงพระกรรณของมหาบพิตรนั้น ในระหว่างที่ยังไปไม่ถึงนั้นเสียงของอาตมภาพมีสีอย่างไร มีทรวดทรงอย่างไร ? ”
     “ เห็นไม่ได้ พระผู้เป็นเจ้า ”
     “ ขอถวายพระพร ถ้ามหาบพิตรว่าเห็นไม่ได้ เสียงของอาตมภาพก็ไม่ไปถึงพระกรรณของมหาบพิตร มหาบพิตรก็ตรัสคำเหลาะแหละน่ะซิ ”
     “ โยมไม่ได้พูดเหลาะแหละ ถึงถ้อยคำของพระผู้เป็นเจ้าไม่ปรากฏสีเขียว หรือสีเหลืองในระหว่างทางก็จริง แต่ถ้อยคำของพระผู้เป็นเจ้าก็มาถึงโยมจริง”
     “ ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ มหาบพิตร ถึงผู้ไปเกิดในโลกอื่นนั้น จะไม่ปรากฏสีเขียวหรือสีเหลืองในระหว่างทางก็จริง แต่ผู้ไปเกิดในโลกอื่นนั้นก็มีอยู่ เหมือนกับถ้อยคำของอาตมา ”
     “ น่าอัศจรรย์ พระนาคเสน ขอพระผู้เป็นเจ้าจงเสวยราชสมบัติใหญ่ในชมพูทวีปทั้งสิ้นนี้เถิด เพราะขันธ์ ๕ นี้ไม่ได้ไปสู่โลกอื่น ขันธ์ ๕ ไม่มีอะไรตกแต่ง เกิดขึ้นเอง สงสารก็ไม่มี ”อุปมาด้วยการทำนา
     “ ขอถวายพระพร มหาบพิตรเคยโปรดให้ทำนาหรือไม่ ? ”
     “ อ๋อ...เคยให้ทำ ”
     “ ขอถวายพระพร ข้าวสาลีที่ปลูกลงในพื้นดินย่อมมีรวงงอกขึ้น เมื่อรวงข้าวสาลีงอกขึ้น จะว่างอกขึ้นเองหรืออย่างไร? ”
     “ ข้าแต่พระนาคเสน ข้าวสาลีที่ปลูกลงในพื้นดินย่อมมีรวงงอกขึ้น จะว่างอกขึ้นเอง ไม่มีผู้ใดกระทำไม่ได้ ”
     “ ขอถวายพระพร ถ้าข้าวสาลีที่ปลูกลงในพื้นดิน ยังไม่มีรวงงอกขึ้น เมื่อรวงยังไม่งอกขึ้น จะว่าไม่มีผู้ปลูก จะว่าข้าวสาลีไม่มีจะได้หรือไม่? ”
     “ ไม่ได้ พระผู้เป็นเจ้า ”
     “ ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ มหาบพิตร ถ้าขันธ์ ๕ นี้ไปเกิดเอง คนตาบอดก็จะเกิดเป็นคนตาบอดอีก คนใบ้ก็จะเกิดเป็นคนใบ้อีก บุญก็ไม่มีประโยชน์อันใด ถ้าขันธ์ ๕ ไม่มีสิ่งใดตกแต่ง เป็นของเกิดขึ้นเอง ขันธ์ ๕ ก็จะต้องไปนรกด้วยอกุศลกรรม”
     “ ขอนิมนต์อุปมาให้ยิ่งขึ้น ”อุปมาด้วยการจุดประทีป
     “ ขอถวายพระพร เหมือนอย่างมีผู้เอาประทีปมาจุดต่อกัน เปลวประทีปดวงเก่าก้าวไปสู่ประทีปดวงใหม่หรืออย่างไร ประทีปทั้งสองนั้น มีขึ้นเองไม่มีผู้กระทำอย่างนั้นหรือ? ”
     “ ไม่ใช่อย่างนั้น พระผู้เป็นเจ้า ”
     “ ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ มหาบพิตร ขันธ์ ๕ นี้ไม่ได้ไปสู่โลกอื่น ขันธ์ ๕ นี้ไม่ใช่เกิดขึ้นเองโดยไม่มีสิ่งใดทำให้เกิดขึ้น”
     “ ข้าแต่พระนาคเสน เวทนาขันธ์ ไปสู่โลกอื่นหรือ ?”
     “ ขอถวายพระพร ถ้าเวทนาขันธ์ไปสู่โลกอื่น ผู้ที่ไปเกิดในโลกอื่น ก็คือเวทนาขันธ์อย่างนั้นซิ ? ”
     “ ไม่ใช่อย่างนั้น พระผู้เป็นเจ้า ”
     “ ขอถวายพระพร เพราะเหตุนั้นแหละมหาบพิตรจงเข้าพระทัยเถิดว่า เวทนาขันธ์ในอัตภาพนี้ไม่ได้ ไปสู่โลกอื่น ”
     “ ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า สัญญาขันธ์ ไปสู่โลกอื่นหรือ? ”
     “ ขอถวายพระพร ถ้าสัญญาขันธ์ไปสู่โลกอื่น ผู้มีมือด้วนเท้าด้วนในอัตภาพนี้ ไปสู่โลกอื่น ผู้มีมือด้วนเท้าด้วนในอัตภาพนี้ ไปสู่โลกอื่นแล้ว ก็จะต้องมีมือด้วนเท้าด้วนอีกหรืออย่างไร ? ”
     “ ไม่ใช่อย่างนั้น พระผู้เป็นเจ้า ”
     “ เพราะเหตุนั้นแหละ มหาบพิตรจงเข้าพระทัยเถิดว่า สัญญาขันธ์ในอัตภาพนี้ ไม่ได้ไปสู่โลกอื่น ”
     “ ขอนิมนต์อุปมาให้ยิ่งขึ้นไปอีก ”
     อุปมาด้วยกระจก
     “ ขอถวายพระพร มหาบพิตรจงทรงหยิบเอากระจกส่องพระพักตร์หรือไม่? ”
     “ มี พระผู้เป็นเจ้า ”
     “ ขอถวายพระพร มหาบพิตรจงทรงหยิบเอากระจกมาวางไว้ตรงพระพักตร์มหาบพิตร”
     “ โยมหยิบมาตั้งไว้แล้ว ”
     “ ขอถวายพระพร ดวงพระเนตร พระกรรณ พระนาสิก พระทนต์ ของมหาบพิตรปรากฏอยู่ในกระจกนี้เอง หรือว่ามหาบพิตรทรงกระทำให้ปรากฏ? ”
     “ ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ดวงตา หู จมูก ฟัน ของโยมปรากฏอยู่ในวงกระจกนี้ ด้วยโยมกระทำขึ้น ”
     “ ขอถวายพระพร ถ้าอย่างนั้นเป็นอันว่ามหาบพิตรได้ควักเอาพระเนตร ตัดเอาพระกรรณ พระนาสิก และถอนเอาพระทนต์ของมหาบพิตร เข้าไปไว้ในกระจกแล้ว มหาบพิตรก็เป็นคนตาบอด ไม่มีพระนาสิกและพระทนต์อย่างนั้นซิ? ”
     “ ไมใช่อย่างนั้น พระผู้เป็นเจ้า เงาปรากฏในกระจก เพราะอาศัยโยมกระทำขึ้น ไม่ใช่ว่าเพราะโยมไม่ได้กระทำขึ้น”
     “ ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ มหาบพิตร ไม่ใช่ว่าขันธ์ ๕ นี้ไปสู่โลกอื่น ทั้งไม่ใช่ว่าขันธ์ ๕ ไม่มีสิ่งกระทำ เป็นของเกิดขึ้นเอง สัตว์ถือกำเนิดในครรภ์มารดาด้วยกุศลกรรม อกุศลกรรม ที่ตนกระทำไว้ เพราะอาศัยขันธ์ ๕ นี้แหละ จึงเหมือนเงาปรากฏในกระจก เพราะอาศัยการกระทำของมหาบพิตรฉะนั้น ”
     “ ถูกต้องดีแล้ว พระนาคเสน ”

  • ปัญหาที่ ๗ ถามเรื่องถือกำเนิดในครรภ์มารดา

" ข้าแต่พระนาคเสน เมื่อสัตว์จะเข้าถือกำเนิดในท้องมารดา เข้าไปทางทวารไหน ? ”
“ ขอถวายพระพร ไม่ปรากฏว่าเข้าไปทางทวารไหน ”
“ ขอนิมนต์อุปมาด้วย ”
“ ขอถวายพระพร หีบแก้วของมหาบพิตรมีอยู่หรือ ? ”
“ มีอยู่ พระผู้เป็นเจ้า ”
“ ขอถวายพระพร ขอจงนึกเข้าไปในหีบแก้วดูซิ ”
" โยมนึกเข้าไปแล้ว ”
“ ขอถวายพระพร จิตของมหาบพิตรที่นึกเข้าไปในหีบแก้วนั้น เข้าไปทางไหน ? ”
“ ข้าแต่พระนาคเสน จิตของโยมไม่ปรากฏว่านึกเข้าไปทางไหน”
“ ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ มหาบพิตร สัตว์ที่เข้าไปถือกำเนิดในท้องมารดา ก็ไม่ปรากฏว่าเข้าไปทางไหนฉะนั้น ”
“ ข้าแต่พระนาคเสน การที่พระผู้เป็นเจ้าแก้ปัญหาปฏิภาณอันวิจิตรยิ่งนี้ได้เป็นอัศจรรย์นักหนา ถ้าพระพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่คงจะประทานอนุโมทนาสาธุการเป็นแน่แท้”

  • ปัญหาที่ ๘ ถามเรื่องโพชฌงค์ ๗

“ ข้าแต่พระนาคเสน โพชฌงค์ มีเท่าไร ? ”
“ ขอถวายพระพร มี ๗ ประการ ”
“ ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า บุคคลตรัสรู้ด้วยโพชฌงค์เท่าไร? ”
“ ขอถวายพระพร บุคคลตรัสรู้ด้วยโพชฌงค์ข้อเดียว ”
“ คือข้อไหน พระผู้เป็นเจ้า ? ”
“ ขอถวายพระพร คือข้อ ธัมมวิจยสัมโพชฌงค์ ” ( ใคร่ครวญธรรมะ)
“ ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ถ้าอย่างนั้น พระพุทธองค์ทรงแสดงโพชฌงค์ ๗ ไว้ทำไม ? ”
“ ขอถวายพระพร พระองค์จะเข้าพระทัยความข้อนี้อย่างไร...คือดาบที่บุคคลสวมไว้ในฝัก บุคคลไม่ได้ชักออกจากฝัก อาจตัดสิ่งใดสิ่งหนึ่งให้ขาดได้หรือ ? ”
“ ไม่ได้ พระผู้เป็นเจ้า ”
“ ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ มหาบพิตร คือบุคคลปราศจาก ธัมมวิจยสัมโพชฌงค์ แล้วาตรัสรู้ด้วยโพชฌงค์ ๖ ไม่ได้”
“ ถูกแล้ว พระนาคเสน ”

อธิบาย
โพชฌงค์ คือองค์เป็นเครื่องตรัสรู้มี ๗ ประการ ดังนี้
   ๑. สติ ระลึกนึกไว้เสมอ
   ๒. ธัมมวิจยะ ใคร่ครวญธรรมะที่เราจะปฏิบัติ
   ๓. วิริยะ มีความเพียรต่อสู้กับอุปสรรค
   ๔. ปีติ สร้างความอิ่มเอิบใจให้ปรากฏกับจิต
   ๕. ปัสสัทธิ ความสงบ คือสงบจากนิวรณ์ หรือสงบจากกิเลส
   ๖. สมาธิ มีความตั้งใจมั่น
   ๗. อุเบกขา ทรงอารมณ์เดียวเข้าไว้ ไม่ยอมรับทราบอารมณ์อื่นเข้ามาสนใจ


  •  ปัญหาที่ ๙ ถามถึงความมากกว่ากันแห่งบาปและบุญ

“ ข้าแต่พระนาคเสน บุญและบาปข้างไหนมากกว่ากัน ? ”
“ ขอถวายพระพร บุญมากกว่าบาป บาปน้อยกว่า ”
“ ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ทำไมจึงว่าบุญมากกว่า บาปน้อยกว่า? ”
“ ขอถวายพร บุคคลทำบาปแล้วย่อมร้อนใจในภายหลังว่า เราได้ทำบาปไว้แล้วเพราะเหตุนั้นบาปก็ไม่ได้มากขึ้น ส่วนบุญเมื่อบุคคลทำเข้าแล้วไม่เดือดร้อนในภายหลัง มีแต่เกิดปราโมทย์ ปีติ ใจสงบมีความสุข จิตเป็นสมาธิ เพราะฉะนั้น บุญจึงมากขึ้น ดังมีบุรุษผู้มีมือมีเท้าขาดแล้ว ได้บูชาพระด้วยดอกบัวเพียงกำเดียว ก็จักได้เสวยผลถึง ๙๑ กัปด้วยเหตุนี้แหละ จึงว่าบุญมากกว่า ขอถวายพระพร”
“ ชอบแล้ว พระผู้เป็นเจ้า ”

  •  ปัญหาที่ ๑๐ ถามถึงการทำบาปแห่งผู้รู้กับผู้ไม่รู้

“ ข้าแต่พระนาคเสน สมมุติว่ามีคน ๒ คน คนหนึ่งรู้จักบาป อีกคนหนึ่งไม่รู้จัก แต่กระทำบาปด้วยกันทั้งสองคน ข้างไหนจะได้บาปมากกว่ากัน ? ”
“ ขอถวายพระพร ข้างไม่รู้จักได้บาปมากกว่า ”
“ ข้าแต่พระนาคเสน ราชบุตรของโยมหรือราชมหาอำมาตย์คนใดรู้ แต่ทำผิดลงไปโยมลงโทษแก่ผู้นั้นเป็นทวีคูณ ”
“ ขอถวายพระพร มหาบพิตรจะเข้าพระทัยความข้อนี้อย่างไร...คือสมมุติว่ามีคน ๒ คน จับก้อนเหล็กแดงเหมือนกัน คนหนึ่งรู้ว่าเป็นก้อนเหล็กแดง อีกคนหนึ่งไม่รู้ คนไหนจะจับแรงกว่ากัน ? ”
“ ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า คนไม่รู้จับแรงกว่า ”
“ ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ มหาบพิตร คือผู้ไม่รู้บาปได้บาปมากกว่า”
“ ชอบแล้ว พระนาคเสน ”

  • ปัญหาที่ ๑๑ ถามถึงผู้ที่ไปอุตตรกุรุทวีปและสวรรค์

“ ข้าแต่พระนาคเสน ผู้ไปสู่อุตตรกุรุทวีปหรือพรหมโลก หรือไม่ทวีปอื่นด้วยกายนี้มีอยู่หรือ ? ”
“ ขอถวายพระพร มีอยู่ ”
“ ข้อนี้คืออย่างไร พระผู้เป็นเจ้า ? ”
“ ขอถวายพระพร มหาบพิตรเคยกระโดดที่แผ่นดินนี้ได้คืบหรือศอก? ”
“ อ๋อ...โยมเคยกระโดดได้ ๘ ศอก ? ”
“ ขอถวายพระพร มหาบพิตรกระโดดอย่างไร...จึงได้ถึง ๘ ศอก ? ”
“ พอโยมคิดว่าจะกระโดด กายของโยมก็เบา โยมจึงกระโดดได้ถึง ๘ ศอก ”
“ ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ มหาบพิตร คือภิกษุผู้มีฤทธิ์ มีอำนาจทางจิตภาวนา อธิษฐานจิตแล้ว ก็เหาะไปสู่เวหาสได้”
“ ถูกแล้ว พระนาคเสน ”

  •  ปัญหาที่ ๑๒ ถามเรื่องกระดูกยาว

“ ข้าแต่พระนาคเสน มีคำกล่าวว่า มีกระดูกยาวตั้ง ๑๐๐ โยชน์ โยมไม่เชื่อเพราะต้นไม้ที่สูงตั้ง ๑๐๐ โยชน์ ก็ยังไม่มี กระดูกที่ไหนจักยาวตั้ง ๑๐๐ โยชน์”
“ ขอถวายพระพร มหาบพิตรเคยได้ทรงสดับหรือไม่ว่า ปลาในมหาสมุทรตัวยาวตั้ง ๕๐๐ โยชน์ มีอยู่?”
“ เคยฟัง พระผู้เป็นเจ้า ”
“ ถ้าอย่างนั้น กระดูกของปลาที่มีตัวยาวตั้ง ๕๐๐ โยชน์ จักยาวตั้ง ๑๐๐ โยชน์มิใช่หรือ ? ”
“ ใช่แล้ว พระผู้เป็นเจ้า ”

  • ปัญหาที่ ๑๓ ถามเรื่องเกี่ยวกับลมหายใจ

“ ข้าแต่พระนาคเสน บุคคลอาจทำลมหายใจให้ดับได้หรือ? ”
“ ขอถวายพระพร ได้ ”
“ ได้อย่างไร...พระผู้เป็นเจ้า ? ”
“ ขอถวายพระพร มหาบพิตรเคยได้ยินเสียงคนนอนกรนบ้างหรือ? ”
“ อ๋อ..เคยซิ พระผู้เป็นเจ้า”
“ ขอถวายพระพร เวลาเขาพลิกกายเสียงกรนเงียบไปไหม ?”
“ เงียบไป พระผู้เป็นเจ้า ”
“ ขอถวายพระพร เสียงกรนนั้นเป็นเสียงของผู้ไม่ได้อบรมกาย ไม่ได้อบรมศีล ไม่ได้อบรมจิต แต่เมื่อพลิกตัวก็ยังหายไป ส่วนลมหายใจของผู้ได้อบรมกาย อบรมศีล อบรมจิต เข้าจตุตถฌาน จะไม่ดับหรือ...มหาบพิตร ? ”
“ ชอบแล้ว พระนาคเสน ”

อธิบาย
คำว่า “ จตุตถฌาน ” ได้แก่ ฌาน ๔ ที่มีลักษณะดับความรู้สึกจากลมหายใจในขณะนั้น ซึ่งเป็นอาการทั่วไปของผู้ที่เข้าฌาณ ๔ มิใช่ว่าลมหายใจจะดับสิ้นไป ดังนี้

  • ปัญหาที่ ๑๔ ถามว่าอะไรเป็นสมุทร

“ ข้าแต่พระนาคเสน มีคำกล่าวกันอยู่ว่า “ สมุทร ๆ ” น้ำหรือชื่อว่าสมุทร ? ”
“ ขอถวายพระพร น้ำเค็มมีอยู่ในที่เท่าใดที่เท่านั้นแหละ เรียกว่าสมุทร ”
“ ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า เหตุใดสมุทรจึงมีรสเดียว คือรสเค็ม? ”
“ ขอถวายพระพร เพราะมีน้ำขังอยู่นานจึงเค็ม ”
“ สมควรแล้ว พระนาคเสน ”

  • ปัญหาที่ ๑๕ ถามเรื่องการตัดสิ่งที่สุขุม

“ ข้าแต่พระนาคเสน บุคคลอาจตัดสิ่งที่สุขุมกว่าสิ่งทั้งหลายได้หรือ? ”
“ ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า อะไรชื่อว่าเป็นสิ่งสุขุมกว่าสิ่งทั้งหลาย”
“ ขอถวายพระพร พระธรรม ชื่อว่าสุขุมกว่าสิ่งทั้งหลาย แต่ธรรมะไม่ใช่สุขุมไปทั้งหมด คือ สุขุมก็มี หยาบก็มี แต่ว่าสิ่งที่ควรตัดด้วยปัญญามีอย่างเดียว คือ ธรรมะ นอกจากนั้นไม่มี ”
“ ชอบแล้ว พระนาคเสน ”

  • ปัญหาที่ ๑๖ ถามความวิเศษแห่งปัญญา

“ ข้าแต่พระนาคเสน ปัญญา อยู่ที่ไหน ? ”
“ ขอถวายพระพร ปัญญาไม่ได้อยู่ที่ไหน ”
“ ถ้าอย่างนั้น ปัญญาก็ไม่มีน่ะซิ ”
“ ขอถวายพระพร ลมอยู่ที่ไหน ? ”
“ ลมไม่ได้อยู่ที่ไหน ”
“ ถ้าอย่างนั้น ลมก็ไม่มีน่ะซิ ”
“ ถูกแล้ว พระนาคเสน ”
  •  ปัญหาที่ ๑๗ ถามความต่างกันแห่งวิญญาณเป็นต้น

" ข้าแต่พระนาคเสน ปัญญา วิญญาณ ชีพในภูต เหล่านี้ มีอรรถะ พยัญชนะต่างกันหรือว่ามีอรรถะอย่างเดียวกัน มีพยัญชนะต่างกัน ? ”
“ ขอถวายพระพร วิญญาณ มีการ รู้สึก เป็นลักษณะ ปัญญา มีการ รู้ทั่ว เป็นลักษณะ ชีพในภูต คือในผู้ที่เกิดแล้วไม่มี”
“ ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ถ้าไม่มีชีพเป็นตัวเป็นตน ก็ใครเล่าเห็นรูปด้วยตา ได้ฟังเสียงด้วยหู สูดกลิ่นด้วยจมูก ลิ้มรสด้วยลิ้มสัมผัสด้วยกาย รู้จักอารมณ์ด้วยใจ ?”
“ ขอถวายพระพร ถ้าชีพเห็นรูปด้วยตาตลอดถึงรู้จักอารมณ์ด้วยใจแล้วเมื่อเปิดตาขึ้น ชีพนั้นก็ต้องมีหน้าไปข้างนอก ต้องได้เห็นรูปดาวได้ดีเมื่อเปิดหู จมูก ลิ้น กาย ใจ ชีพนั้นก็ต้องหันหน้าไปภายนอก รู้จักอารมณ์ได้ดีอย่างนั้นหรือ ? ”
“ ไม่ใช่อย่างนั้น พระผู้เป็นเจ้า ”
“ ขอถวายพระพร ถ้าอย่างนั้น ชีพก็ไม่มีในภูต ”
“ ชอบแล้ว พระนาคเสน ”

อธิบาย
คำว่า “ อรรถะ ” คือแปลมีความหมาย ส่วน “ พยัญชนะ” คือแปลตามศัพท์ หรือที่เรียกกันว่า “ แปลยกศัพท์” นั่นเอง

  • ปัญหาที่ ๑๘ ถามถึงเรื่องสิ่งที่ทำได้ยากของพระพุทธเจ้า

“ ข้าแต่พระนาคเสน สิ่งที่ทำได้ยากที่พระพุทธเจ้าได้ทรงกระทำนั้น ได้แก่อะไร ? ”
“ ขอถวายพระพร พระพุทธเจ้าได้ทรงกระทำสิ่งที่ทำได้ยาก ได้แก่การทรงแสดงซึ่งธรรมอันไม่มีรูปร่าง อันมีอยู่ในจิต เจตสิดอันเป็นไปในอารมณ์อันเดียวเหล่านี้ได้ว่า อันนี้เป็นผัสสะ อันนี้เป็นเวทนา อันนี้เป็นสัญญา อันนี้เป็นเจตนา อันนี้เป็นจิต ”
“ ขอนิมนต์อุปมาด้วย ”
“ ขอถวายพระพร เปรียบเหมือนกับบุรุษคนหนึ่งลงเรือไปที่มหาสมุทร วักน้ำขึ้นมาวางไว้ที่ลิ้น ก็รู้ว่านี้เป็นน้ำคงคา นี้เป็นน้ำยมนา นี้เป็นน้ำสรภู นี้เป็นน้ำอจิรวดี นี้เป็นน้ำมหิ ดังนี้ได้ เป็นของง่ายหรือยากล่ะ ?”
“ เป็นของยาก พระผู้เป็นเจ้า ”
“ ขอถวายพระพร การที่พระพุทธเจ้าทรงบอกสิ่งที่ไม่มีรูปร่าง ที่มีในจิตใจ ที่เป็นอารมณ์อันเดียวกันว่า นี้เป็นผัสสะ นี้เป็นเวทนา นี้เป็นสัญญา นี้เป็นเจตนา นี้เป็นจิต ดังนี้ยิ่งยากกว่านั้น ”
“ ถูกดีแล้ว พระผู้เป็นเจ้า ”

  • ปัญหาที่ ๑๙ พระเจ้ามิลินท์ทรงเลื่อมใสได้ปวารณาพระนาคเสน

พระนาคเสนถวายพระพรว่า
“ มหาบพิตรทรงทราบว่า เวลานี้เป็นเวลาอะไรแล้ว ? ”
“ ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า โยมทราบว่าเวลานี้เป็นเวลามัชฌิมยามแล้ว เพราะคบเพลิงสว่างไสว ”
ขณะนั้นพวกเจ้าพนักงานก็นำผ้า ๕ พับมาถวาย ข้าราชการโยนกทั้งหลายก็ทูลขึ้นว่า
“ พระภิกษุองค์นี้ฉลาดมาก เป็นบัณฑิตแท้ พระเจ้าข้า”
พระเจ้ามิลินท์ตรัสตอบว่า
“ ถูกแล้ว...เธอทั้งหลาย ถ้ามีอาจารย์อย่างนี้ มีศิษย์อย่างนี้ ไม่ช้าก็ต้องรู้ธรรมะได้ดี ”
พระเจ้ามิลินท์ทรงยินดีด้วยการแก้ปัญหาของพระนาคเสน จึงถวายผ้ากัมพลราคาแสนตำลึงแก่พระนาคเสนแล้วตรัสว่า
“ ข้าแต่พระนาคเสน จำเดิมแต่วันนี้เป็นต้นไป โยมจะให้จัดอาหารไว้วันละ ๑๐๘ สำรับ สิ่งใดที่สมควรอันมีในพระราชวังนี้ โยมขอปวารณาพระผู้เป็นเจ้าทั้งนั้น”
“ อย่าเลย มหาบพิตร อาตมภาพพอมีชีวิตอยู่ได้ก็แล้วกัน”
พระเจ้ามิลินท์ตรัสต่อไปว่า
“ ข้าแต่พระนาคเสน โยมรู้ว่าพระผู้เป็นเจ้าพอมีชีวิตอยู่ได้ ก็แต่ว่าขอพระผู้เป็นเจ้าจงรักษาตัวของพระผู้เป็นเจ้า และรักษาตัวของโยมไว้

ข้อที่ว่า ขอให้พระผู้เป็นเจ้ารักษาตัวพระผู้เป็นเจ้าไว้นั้น คืออย่าให้มีผู้ติเตียนได้ว่าพระนาคเสนทำให้พระเจ้ามิลินท์ทรงเลื่อมใสแล้ว ก็ไม่ได้อะไร
ข้อที่ว่า ขอให้รักษาตัวโยมไว้นั้น คืออย่างไร...คืออย่าให้มีผู้กล่าวได้ว่า พระเจ้ามิลินท์ทรงเลื่อมใสแล้ว ไม่ได้ทรงแสดงอาการเลื่อมใสแต่อย่างใด”

พระเถระจึงตอบว่า
“ แล้วแต่พระราชประสงค์ ”
พระเจ้ามิลินท์จึงตรัสว่า
“ ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า พญาราชสีห์อันบุคคลขังไว้ในกรงทองย่อมหันหน้าไปภายนอก ฉันใด ถึงโยมจะอยู่ครองบ้านครองเมือง ก็หันหน้าไปภายนอก ฉันนั้น ถ้าโยมออกไปบรรพชา ก็จะมีชีวิตอยู่ไม่นาน เพราะศัตรูโยมมีมาก ”

แสดงความชื่นชมต่อกัน
ครั้งพระนาคเสนเถระแก้ปัญหาพระเจ้ามิลินท์เสร็จแล้ว จึงกลับไปสู่สังฆาราม เมื่อพระนาคเสนกลับไปแล้วไม่ช้า พระเจ้ามิลินท์ก็ทรงคิดดูว่า
     เราได้ถามเป็นอย่างไร พระผู้เป็นเจ้าแก้เป็นอย่างไร จึงทรงนึกได้ว่า สิ่งทั้งปวงเราก็ได้ถามดีแล้ว พระผู้เป็นเจ้าก็ได้แก้ดีแล้ว

ฝ่ายพระนาคเสนก็นึกอย่างเดียวกันกับพระเจ้ามิลินท์ เช้าขึ้นจึงได้ครองจีวรสะพายบาตรเข้าไปที่พระราชนิเวศน์ แล้วนั่งลงบนอาสนะ
     พระเจ้ามิลินท์กราบไหว้แล้ว จึงตรัสขึ้นว่า
“ ข้าแต่พระนาคเสน ขอพระผู้เป็นเจ้าอย่าคิดว่า โยมได้ถามปัญหาพระนาคเสนแล้ว พระผู้เป็นเจ้าย่อมให้ราตรีที่ยังเหลืออยู่ สิ้นไปด้วยความยินดีนั้น ขออย่าเห็นอย่างนี้ ”
โยมได้นึกอยู่ตลอดราตรีว่า การถามของเราเป็นอย่างไร การแก้ของพระผู้เป็นเจ้าเป็นอย่างไร ก็นึกได้ว่า เราถามดีแล้ว พระผู้เป็นเจ้าแก้ดีแล้ว
พระเถระก็ตอบว่า
“ ขอถวายพระพร ขอมหาบพิตรอย่าคิดว่า อาตมภาพได้แก้ปัญหาของพระเจ้ามิลินท์แล้ว มหาบพิตรย่อมทรงบรรทมหลับตลอดราตรีที่ยังเหลืออยู่ด้วยความยินดีนั้น ขออย่าทรงเห็นอย่างนี้
อาตมภาพได้คิดอยู่ตลอดราตรีที่ยังเหลืออยู่ว่า พระเจ้ามิลินท์ถามอะไรแล้ว เราได้แก้อะไรแล้ว ก็นึกได้ว่า พระเจ้ามิลินท์ได้ถามสิ่งทั้งปวงแล้ว เราก็ได้แก้สิ่งทั้งปวงแล้ว ”

เป็นอันว่า ปราชญ์ทั้งสองนั้น ได้แสดงความชื่นชมยินดีต่อกันและกันอย่างนี้
จบวรรคที่ ๗
 จบมิลินทปัญหา

มิลินทปัญหา ตอนที่ 10

- ตอนที่ ๑๐ -


  •  มิลินทปัญหา วรรคที่ ๖
  •  ปัญหาที่ ๑ ถามถึงความรักร่างกายแห่งบรรพชิต


     พระเจ้ามิลินท์ตรัสถามว่า
     “ ข้าแต่พระนาคเสน ร่างกายเป็นที่รักของบรรพชิตทั้งหลายหรือ? ”
     พระเถระตอบว่า
     “ ขอถวายพระพร ร่างกายไม่ได้เป็นที่รักของบรรพชิตทั้งหลาย”
     “ ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ถ้าอย่างนั้น ทำไมบรรพชิตจึงยังอาบน้ำชำระกาย ถึอว่ากายของเราอยู่ ? ”
     “ ขอถวายพระพร ผู้เข้าสู่สงครามเคยถูกบาดเจ็บบ้างหรือไม่? ”
     “ อ๋อ...เคยซิ พระผู้เป็นเจ้า ”
     “ ขอถวายพระพร แผลที่ถูกอาวุธนั้น ฉาบทาด้วยเครื่องฉาบทา ทาด้วยน้ำมัน พันด้วยผ้าเนื้อละเอียดแลหรือ ? ”
     “ ถูกแล้วพระผู้เป็นเจ้า ต้องทำอย่างนั้น ”
     “ ขอถวายพระพร บาดแผลนั้นเป็นที่รักของผู้นั้นหรือ? ”
     “ ไม่ได้เป็นที่รักของผู้นั้นเลย แต่ว่าเขาทำอย่างนั้น เพื่อให้เนื้อตรงนั้นงอกขึ้นเป็นปกติ ”
     “ ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ มหาบพิตร ร่างกายไม่ได้เป็นที่รักของบรรพชิตทั้งหลาย แต่บรรพชิตทั้งหลายรักษาร่างกายนี้ไว้ เพื่ออนุเคราะห์พรหมจรรย์ อันว่าร่างกายนี้เปรียบเหมือนกับแผล บรรพชิตรักษาร่างกายนี้ไว้เหมือนกับบุคคลรักษาแผล”
     ข้อนี้สมกับที่สมเด็จพระทศพลตรัสไว้ว่า
     “ กายนี้มีทวาร ๙ เป็นแผลใหญ่ อันหนังสดปกปิดไว้ คายของโสโครกออกโดยรอบ ไม่สะอาด มีกลิ่นเหม็น ”
     “ ถูกดีแล้ว พระผู้เป็นเจ้า ”

อธิบาย
คำว่า “ ทวาร ๙ ” ได้แก่ ตา ๒ หู ๒ จมูก ๒ ปาก ๑ ทวารหนัก ๑ ทวารเบา ๑

  • ปัญหาที่ ๒ ถามถึงเหตุที่ไม่ทรงบัญญติสิกขาบทไว้ล่วงหน้า 


     “ ข้าแต่พระนาคเสน พระพุทธเจ้าเป็นพระสัพพัญญู คือทรงรู้ทุกสิ่ง เป็นสัพพทัสสาวีคือทรงเห็นทุกอย่างจริงหรือ ? ”
     “ ขอถวายพระพร จริง ”
     “ ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ถ้าจริง...เหตุไฉนจึงทรงบัญญัติสิกขาบทไปตามลำดับเหตุการณ์แก่สาวกทั้งหลาย ทำไมจึงไม่ทรงบัญญัติไว้ก่อน ? ”
     “ ขอถวายพระพร แพทย์ที่รู้จักยาทั้งหมดในแผ่นดินนี้มีอยู่หรือ? ”
     “ มีอยู่ พระผู้เป็นเจ้า ”
     “ ขอถวายพระพร ก็แพทย์นั้นให้คนไข้กินยาแต่เมื่อยังไม่เป็นไข้ หรือเมื่อเป็นไข้แล้วจึงให้กินยา ? ”
     “ ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า เมื่อเป็นไข้แล้วจึงให้กินยา เมื่อยังไม่เป็นไข้ก็ยังไม่ให้กินยา ”
     “ ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ คือพระพุทธเจ้าเป็นผู้รู้ทุกสิ่งเห็นทุกอย่างจริง แต่เมื่อยังไม่ถึงเวลาก็ยังไม่บัญญัติสิกขาบท ต่อเมื่อถึงเวลาจึงบัญญัติสิกขาบท สิกขาบทที่ทรงบัญญัตินั้นพระสาวกไม่ควรล่วงละเมิดจนตลอดชีวิต”
     “ ถูกแล้ว พระผู้เป็นเจ้า ”

  • ปัญหาที่ ๓ ถามถึงลักษณะมหาบุรุษ ๓๒ ของพระพุทธมารดาบิดา

     “ ข้าแต่พระนาคเสน พระพุทธเจ้าประกอบด้วยมหาบุรุษลักษณะ ๓๒ และประดับด้วยอนุพยัญชนะ ๘๐ มีสีพระกายดังทองคำ มีพระรัศมีสว่างรอบพระองค์ด้านละ ๑ วาเป็นนิจจริงหรือ? ”
     “ ขอถวายพระพร จริง ”
     “ ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า พระมาดารบิดาประกอบด้วยลักษณะมหาบุรุษ ๓๒ ประการกับประดับด้วยอนุพยัญชนะ ๘๐ ประการ มีสีพระกายดังทองคำมีพระรัศมีข้างละ๑ วาหรือไม่ ? ”
     “ ขอถวายพระพร พระมารดาบิดาไม่เป็นอย่างนั้น ”
     “ ข้าแต่พระนาคเสน เมื่อพระมารดาบิดาไม่เป็นอย่างนั้น พระพุทธเจ้าเจ้าจะเป็นอย่างนั้นได้หรือ เพราะธรรมดาบุตรย่อมคล้ายกับมารดาหรือคล้ายกับข้างบิดา? ”
     “ ขอถวายพระพร ดอกปทุม หรือดอกอุบล ดอกโกมุท ดอกปุณฑริก มีอยู่หรือ ? ”
     “ มีอยู่ พระผู้เป็นเจ้า เพราะดอกบัวเหล่านั้นเกิดอยู่ในน้ำ เกิดอยู่ในดิน แช่อยู่ในน้ำ ”
     “ ขอถวายพระพร ดอกบัวเหล่านั้นมีสี กลิ่น รส เหมือนดินกับน้ำหรือไม่? ”
     “ ไม่ พระผู้เป็นเจ้า ”
     “ ถ้าอย่างนั้น ดอกบังเหล่านั้น มีสี กลิ่น รส เหมือนกับโคลนกับตมหรือไม่ ? ”
     “ ไม่ พระผู้เป็นเจ้า ”
     “ ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ มหาบพิตร ”
     “ พระผู้เป็นเจ้าเข้าใจแก้ เป็นอันแก้ถูกต้องดีแล้ว”

  •  ปัญหาที่ ๔ ถามถึงความเป็นพรหมจารีของพระพุทธเจ้า


     “ ข้าแต่พระนาคเสน พระพุทธเจ้าเป็นพรหมจารี คือเป็นผู้ประพฤติเหมือนกับพรหมจริงหรือไม่? ”
     “ ขอถวายพระพร จริง ”
     “ ถ้าอย่างนั้น พระพุทธเจ้าก็เป็นศิษย์ของพรหมน่ะซิ”
     “ ขอถวาวพระพร ช้างทรงของมหาบพิตรมีอยู่หรือ ? ”
     “ มีอยู่ พระผู้เป็นเจ้า ”
     “ ช้างทรงของมหาบพิตรนั้น มีเสียงร้องเหมือนเสียงนกกระเรียนในบางคราวหรือไม่? ”
     “ อ๋อ...บางคราวก็มีเสียงร้องเหมือนเสียงนกกระเรียน พระผู้เป็นเจ้า ”
     “ ถ้าอย่างนั้น ช้างของมหาบพิตรก็เป็นศิษย์ของนกกระเรียนน่ะซี”
     “ ไม่ใช่ พระผู้เป็นเจ้า ”
     “ ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ มหาบพิตร พระพุทธเจ้าประพฤติเหมือนพรหมจริง แต่ไม่ได้เป็นศิษย์ของพรหม”
     “ ขอถวายพระพร พรหมนั้นได้ตรัสรู้ด้วยตนเองหรือไม่”
     “ ไม่ พระผู้เป็นเจ้า ”
     “ ถ้าอย่างนั้น พรหมก็ต้องเป็นศิษย์ของพระพุทธเจ้า”

  •  ปัญหาที่ ๕ ถามถึงการอุปสมบท ไม่อุปสมบท


     “ ข้าแต่พระนาคเสน การอุปสมบทดีหรือ...หรือว่าไม่อุปสมบทดี? ”
     “ ขอถวายพระพร อุปสมบทดี ”
     “ ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า อุปสมบทของพระพุทธเจ้ามีอยู่หรือ? ”
     “ ถวายพระพร พระพุทธเจ้าเป็นผู้ได้อุปสมบทแล้ว ”
     เมื่อพระนาคเสนกล่าวอย่างนี้แล้ว พระเจ้ามิลินท์จึงตรัสประกาศขึ้นว่า
     “ ขอพวกโยนกทั้ง ๕๐๐ จงฟังถ้อยคำของเรา คือพระนาคเสนกล่าวว่า พระพุทธเจ้าได้อุปสมบทแล้ว เป็นอุปสันบัน คือเป็นผู้ที่บวชแล้ว
     ถ้าพระสมณโคดมเป็นอุปสัมบัน ใครเป็นอุปัชฌาย์ ใครเป็นอาจารย์ มีสงฆ์มานั่งหัตถบาสเท่าใด ? ”
     “ ขอถวายพระพร พระพุทธเจ้าไม่มีอุปัชฌาย์ ไม่มีอาจารย์ ได้อุปสมบทเอง ตรัสรู้เอง ที่ภายใต้ไม้ศรีมหาโพธิ พระองค์ได้เป็นผู้อุปสัมบันพร้อมด้วยพระสัพพัญญุตญาณ”
     “ ข้าแต่พระนาคเสน ถ้าอุปัชฌาย์อาจารย์ของพระสมณโคดมไม่มี โยมก็เข้าใจว่า พระสมณโคดมเป็นอนุปสัมบัน คือผู้ที่ยังไม่ได้บวชเพราะเหตุไร...พระพุทธเจ้าจึงไม่มีอุปัชฌาย์ ไม่มีอาจารย์ ? ”
     เมื่อพระเจ้ามิลินท์ตรัสถามขึ้นอย่างนี้พระนาคเสนองค์อรหันต์ ผู้สำเร็จปฏิสัมภิทาจึงย้อมถามไปว่า
     “ มหาบพิตร ทรงเสวยแล้วหรือ ? ”
     “ โยมกินแล้ว พระผู้เป็นเจ้า ”
     “ ใครเป็นครูเป็นอาจารย์บอกให้เสวยล่ะ ”
     “ ไม่มี พระผู้เป็นเจ้า ”
     “ ถ้าอย่างนั้น มหาบพิตรก็เสวยไม่ได้ ? ”
     “ ได้...ไม่ใช่โยมกินไม่ได้ ถึงไม่มีครูบาอาจารย์สั่งสอน โยมก็กินได้ ด้วยเคยกินมาในวัฏสงสารนับไม่ถ้วน ”
     “ ขอถวายพระพร ถ้าอย่างนั้นขอให้มหาบพิตรเข้าพระทัยเถิดว่า พระพุทธเจ้าได้อุปสมบทแล้วที่ภายใต้ไม้ศรีมหาโพธิ เพราะพระองค์ได้ทรงบำเพ็ญพระบารมีมาเต็มเปี่ยมแล้ว”
     พระองค์อุปสมบทเอง ไม่มีอุปัชฌาย์อาจารย์ ได้อุปสมบทพร้อมกับได้พระสัพพัญญุตญาณ เหมือนกับมหาบพิตรผู้เสวยโดยไม่ต้องมีอาจารย์ เพราะเคยเสวยมาในวัฏสงสารอันไม่ปรากฏเบื้องต้นอัศจรรย์วันอุปสมบทในเวลาที่พระพุทธองค์ได้เป็นอุปสัมบันที่ภายใต้ไม้ศรีมหาโพธิ ด้วยอำนาจพระบารมีนั้นอัศจรรย์ต่าง ๆ ก็ปรากฏขึ้นในโลก คือ
     คนตาบอดแต่กำเนิดก็กลับเป็นคนตาดี ๑ คนหูหนวกก็ได้ยินเสียง ๑ คนง่อยเปลี้ยก็เดินได้ ๑ คนใบ้ก็พูดได้ ๑ คนหลังค่อมก็ยืดตรงเป็นปกติได้ ๑ คนกำลังหิวข้าวก้ได้กินข้าว ๑ คนกระหายน้ำก็ได้ดื่มน้ำ ๑
     ผู้ที่อาฆาตต่อกันก็ตึกเมตตากัน ๑ ทุกข์ในแดนเปรตก็หายไป ๑ ยาพิษก็กลับเป็นเหมือนยาทิพย์ ๑ หญิงมีครรภ์แก่ก็คลอดได้สบาย ๑ สำเภาที่ไปต่างไปต่างประเทศก็กลับมาถึงท่าของตน ๑ กลิ่นเหม็นก็กลายเป็นกลิ่นหอม ๑
     ไฟในอเวจีมหานรกก็ดับ ๑ น้ำเค็มในมหาสมุทรก็กลายเป็นน้ำหวาน ๑ ภูเขาทั้งหลายก็เปล่งเสียงสะท้าน ๑ น้ำในมหานทีทั้งหลายก็หยุดไหล ๑ ผลจันทน์ทิพย์ดอกมณฑาทิพย์ก็ตกลงมาจากสวรรค์ ๑ เทพยดานางฟ้าทั้งหลาย ก็โปรยดอกไม้ทิพย์ลงมา ๑ พรหมทั้งหลายก็ตบมือสาธุการ ๑
     ขอถวายพระพร พระพุทธเจ้าผู้มีสีพระกายดังทองคำ ก็ได้อุปสมบทเองที่ภายใต้ไม้ศรีมหาโพธิ อันเป็นเหมือนปราสาทแก้วจึงได้มีสิ่งอัศจรรย์ปรากฏขึ้นอย่างนี้
     ด้วยอานุภาพแห่งการอุปสมบทของพระพุทธเจ้านั้น ได้บันดาลให้พระยาเขาสิเนรุราชหมุนครวญคราง เหมือนกับกงรถกงเกวียนฉะนั้น
     พวกเทวดาในอากาศพร้อมกับบริวารก็มีใจเบิกบานยินดี ได้โปรยดอกไม้ทิพย์ลงมาบูชา จันทรเทพบุตรก็หยุดมณฑลรถไว้ที่อากาศ โปรยดอกไม้แก้วลงมาบูชาไม่ขาดสายเหมือนกับนมสดที่ไหลหลั่งลงมาจากอากาศ ฉะนั้น การอุปสมบทของพระตถาคตเจ้าย่อมปรากฏอย่างนี้
     “ ขอพระผู้เป็นเจ้าจงอุปมาด้วย ”
     อุปมาช้างพระที่นั่ง
     “ ขอถวายพระพร เมื่อมหาบพิตรขึ้นประทับนั่งบนคอช้างพระที่นั่ง มีผู้ใดผู้หนึ่งนั่งบนคอของพระองค์บ้างหรือไม่ ? ”
     “ ไม่มี พระผู้เป็นเจ้า หากใครขึ้นนั่งบนคอของโยม ผู้นั้นจะต้องหัวขาด ”
     “ ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ มหาบพิตร ไม่มีผู้อื่นจัดการอุปสมบทให้พระพุทธเจ้า ถ้าผู้ใดจัดการอุปสมบทให้พระพุทธเจ้า ศีรษะของผู้นั้นต้องหลุดไปจากคอทันที
     เมื่อกี้นี้มหาบพิตรถามอาตมาภาพว่า พระพุทธเจ้าอุปสมบทด้วยสงฆ์นั่งหัตถบาสเท่าไรอย่างนั้นหรือ? ”
     “ อย่างนั้น พระผู้เป็นเจ้า ”
     “ ขอถวายพระพร พระพุทธเจ้าไม่ได้อุปสมบทด้วยสงฆ์ มีแต่ มรรค กับ ผล เท่านั้นที่เป็นสงฆ์ ”
ข้อนี้สมกับที่พระพุทธองค์ตรัสไว้ว่า
     “ พระอริยบุคคล ๔ เหล่า คือ ผู้ตั้งอยู่ในมรรค ๔ ผล ๔ ผู้มั่นอยู่ในปัญญาและศีลเป็นสงฆ์ผู้ตรงแท้ แต่บุคคลบางเหล่าต้องอุปสมบทด้วยสงฆ์ ”
     “ น่าอัศจรรย์ พระนาคเสน พระผู้เป็นเจ้าได้แก้ปัญหาอันละเอียดยิ่ง อันไม่มีส่วนเปรียบได้แล้ว ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า อุปสมบทเป็นของดีหรือ ? ”
     “ ขอถวายพระพร อุปสมบทเป็นของดี ”
     “ ข้าแต่พระนาคเสน การอุปสมบทของพระพุทธเจ้ามีอยู่หรือไม่มี? ”
     “ ขอถวายพระพร พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้อุปสมบทด้วยความเป็นพระสัพพัญญู ที่ภายใต้ไม้ศรีมหาโพธิแล้ว ไม่มีผู้ให้อุปสมบทแก่พระพุทธเจ้า เหมือนกับพระพุทธเจ้าทรงให้อุปสมบทแก่สาวกเลย ”
     “ แก้ถูกต้องดีแล้ว พระผู้เป็นเจ้า ”

  • ปัญหาที่ ๖ ถามถึงความต่างกันแห่งน้ำตา 


     “ ข้าแต่พระนาคเสน บุรุษคนหนึ่งร้องไห้เพราะบิดามารดาตาย อีกคนหนึ่งน้ำตาไหลเพราะความชอบใจธรรมะ น้ำตาของคนทั้งสองนั้น น้ำตาของใครเป็นเภสัช น้ำตาของใครไม่เป็นเภสัช ? ”
     “ ขอถวายพระพร น้ำตาของคนที่ร้องไห้ด้วยราคะ โทสะ โมหะ เป็นน้ำตาร้อน ส่วนน้ำตาของผู้ฟังธรรมนั้น มีน้ำตาไหลด้วยปีติยินดีเป็นน้ำตาเย็น เป็นอันว่า น้ำตาเย็นเป็นเภสัช น้ำตาร้อนไม่เป็นเภสัช”
     “ ถูกดีแล้ว พระนาคเสน ”
  •  ปัญหาที่ ๗ ถามถึงความต่างกันแห่งผู้เสวยรส


     “ ข้าแต่พระนาคเสน ผู้ปราศจากราคะ กับ ผู้ไม่ปราศจากราคะ ต่างกันอย่างไร ?”
     “ ขอถวายพระพร ผู้หนึ่งยังมีความยึดถือ อีกผู้หนึ่งไม่มีความยึดถือ”
     “ ยึดถืออะไร...ไม่ยึดถืออะไร ? ”
     “ ขอถวายพระพร คือผู้หนึ่งยังมีความต้องการ อีกผู้หนึ่งไม่มีความต้องการ”
     “ ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ผู้ปราศจากราคะ กับ ผู้ไม่ปราศจากราคะ ก็ยังต้องการของเคี้ยวของกินที่ดีงามอยู่เหมือนกัน ไม่มีใครต้องการสิ่งที่ไม่ดีงาม โยมเห็นมีแต่ต้องการสิ่งที่ดีงามเหมือนกันหมด”
     “ ขอถวายพระพร ผู้ปราศจากราคะ ยังรับรสอาหาร ยังกินอาหารอยู่เหมือนกันก็จริงแหล่ แต่ทว่าไม่ยินดีในรสอาหาร ส่วนผู้ไม่ปราศจากราคะ ยังยินดีในรสอาหารอยู่ ไม่ใช่ไม่ยินดีในรสอาหาร ”
     “ เข้าใจแก้ พระผู้เป็นเจ้า ”

  • ปัญหาที่ ๘ ถามที่ตั้งแห่งปัญญา


     “ ข้าแต่พระนาคเสน ปัญญาอยู่ที่ไหน ? ”
     “ ขอถวายพระพร ปัญญาไม่ได้อยู่ที่ไหน ”
     “ ถ้าอย่างนั้นปัญญาก็ไม่มี ”
     “ ขอถวายพระพร ลมอยู่ที่ไหน ? ”
     “ ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ที่อยู่แห่งลมไม่มี ”
     “ ขอถวายพระพร ถ้าอย่างนั้นลมก็ไม่มี ”
     “ ฉลาดแก้ พระผู้เป็นเจ้า ”

  •  ปัญหาที่ ๙ ถามเรื่องสงสาร


     “ ข้าแต่พระนาคเสน คำว่า สงสาร ได้แก่อะไร ? ”
     “ ขอถวายพระพร สัตว์โลกเกิดในโลกนี้ก็ตายในโลกนี้ ตายจากโลกนี้แล้วก็ไปเกิดในโลกอื่น เกิดในโลกนั้นก็ตายในโลกนั้น ตายจากโลกนั้นแล้วก็เกิดในโลกอื่น การเวียนตายเวียนเกิดอย่างนี้แหละ เรียกว่า สงสาร ”
     “ ขอนิมนต์อุปมาด้วย ”
     “ ขอถวายพระพร เหมือนอย่างว่า บุรุษคนหนึ่งกินมะม่วงสุก แล้วปลูกเมล็ดไว้เมล็ดมะม่วงนั้น ก็เกิดเป็นต้นมะม่วงใหญ่ขึ้นจนกระทั่งมีผลมะม่วง บุรุษนั้นก็กินมะม่วงสุกจากมะม่วงต้นนั้น แล้วปลูกเมล็ดมะม่วงไว้อีก เมล็ดมะม่วงนั้นก็เกิดเป็นต้น มะม่วงใหญ่โตขึ้นจนมีผล ต้นแก่ก็ตายไป ที่สุดเบื้องต้นแห่งต้นมะม่วงเหล่านั้น ย่อมไม่ปรากฏว่ามีมาเมื่อไร ข้อนี้มีอุปมาฉันใด การเวียนตายเวียนเกิดของสัตว์ทั้งหลาย ก็ไม่ปรากฏเบื้องต้นฉะนั้น ”
     “ แก้ถูกดีแล้ว พระผู้เป็นเจ้า ”

  • ปัญหาที่ ๑๐ ถามถึงเหตุที่ให้ระลึกถึงสิ่งที่ล่วงแล้วได้


     “ ข้าแต่พระนาคเสน บุคคลระลึกถึงสิ่งที่ล่วงไปนานแล้วได้ด้วยอะไร? ”
     “ ได้ด้วย สติ ขอถวายพระพร ”
     “ ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า สิ่งที่ล่วงไปนานแล้วสิ่งหนึ่ง บุคคลระลึกได้ด้วย จิต ต่างหาก ไม่ใช่ระลึกได้ด้วยสติ”
     “ ขอถวายพระพร มหาบพิตรทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งไว้แล้ว ระลึกไม่ได้มีอยู่หรือไม่? ”
     “ มีอยู่ พระผู้เป็นเจ้า ”
     “ ขอถวายพระพร ในเวลานั้นพระองค์ไม่มีจิตหรือ ? ”
     “ จิตมี แต่เวลานั้นสติไม่มี ”
     “ ถ้าอย่างนั้น ขอมหาบพิตรจงเข้าพระทัยเถิดว่า บุคคลระลึกได้ด้วย สติ ไม่ใช่ระลึกได้ด้วย จิต ”
     “ ถูกดีแล้ว พระนาคเสน ”

http://www.dhammathai.org/milin/milin10.php

มิลินทปัญหา ตอนที่9

- ตอนที่ ๙ -


  •  มิลินทปัญหา วรรคที่ ๔ (ต่อ)
  •  ปัญหาที่ ๓ ถามการเกิดแห่งอายตนะ ๕

     “ ข้าแต่พระนาคเสน อายตนะ ๕ ( ตา หู จมูก ลิ้น กาย ) เกิดด้วยกรรมต่าง ๆ กันหรือเกิดด้วยกรรมอย่างเดียวกัน ? ”
     “ ขอถวายพระพร อายตนะ ๕ นั้น เกิดด้วยกรรมต่าง ๆ กัน ที่เกิดด้วยกรรมอันเดียวกันไม่มี ”
     “ ขอนิมนต์อุปมาด้วย ”
     “ ขอถวายพระพร พืชต่าง ๆ ๕ ชนิดที่บุคคลหว่านลงไปในนาแห่งเดียวกัน ผลแห่งพืช ๕ ชนิดนั้น ก็เกิดต่าง ๆ กัน ฉันใด อายตนะ ๕ เหล่านี้ ก็เกิดด้วยกรรมต่างกัน ฉันนั้น ที่เกิดด้วยกรรมอย่างเดียวกันไม่มี ”
     “ พระผู้เป็นเจ้ากล่าวแก้ถูกต้องดีแล้ว ”

อายตนะ 


  •  ปัญหาที่ ๔ ถามเหตุต่าง ๆ กันแห่งกรรม


     พระเจ้ามิลินท์ตรัสถามว่า
     “ ข้าแต่พระนาคเสน เพราะเหตุใด มนุษย์ทั้งหลายจึงไม่เสมอกัน คือมนุษย์ทั้งหลายมีอายุน้อยก็มี มีอายุยืนยาวก็มี อาพาธมากก็มี อาพาธน้อยก็มี ผิวพรรณวรรณะไม่ดีก็มี ผิวพรรณวรรณะดีก็มี มีศักดิ์น้อยก็มี มีศักดิ์ใหญ่ก็มี มีโภคทรัพย์น้อยก็มี มีโภคทรัพย์มากก็มี มีตระกลูต่ำก็มี มีตระกลูสูงก็มี ไม่มีปัญญาก็มี มีปัญญาก็มี ? ” 
     พระเถระจึงย้อนถามว่า
     “ ขอถวายพระพร เหตุใดต้นไม้ทั้งหลายจึงไม่เสมอกันสิ้น ต้นที่มีรสเปรี้ยวก็มี มีรสขมก็มี มีรสเผ็ดก็มี มีรสฝาดก็มี มีรสหวานก็มี ? ”
     “ ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า โยมเข้าใจว่า เป็นเพราะความต่างกันแห่งพืช ”
     “ ขอถวายพระพร ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ คือ มนุษย์ทั้งหลายไม่เสมอกันหมด เพราะกรรมต่างกัน ข้อนี้สมด้วยพระพุทธฎีกาของสมเด็จพระบรมศาสดาตรัสไว้ว่า ”
     “ สัตว์ทั้งหลายมีกรรมต่างกัน เป็นผู้รับผลของกรรม มีกรรมทำให้เกิด มีกรรมเป็นพวกพ้อง มีกรรมเป็นที่อาศัย กรรมย่อมจำแนกสัตว์ทั้งหลายให้เลวดีต่างกัน ”
     “ ดังนี้ ขอถวายพระพร ”
     “ พระผู้เป็นเจ้าแก้ถูกต้องดีแล้ว ”

  •  ปัญหาที่ ๕ ถามถึงสาเหตุที่ควรให้รีบทำเสียก่อน


     พระเจ้ามิลินท์ตรัสถามว่า
     “ ข้าแต่พระนาคเสน พระผู้เป็นเจ้ากล่าวไว้แก่โยมว่า ทำอย่างไรทุกข์นี้จึงจะดับไปและทุกข์อื่นจึงจะไม่เกิดขึ้น ก็ควรรีบทำอย่างนั้น แต่โยมเห็นว่า ประโยชน์อะไรกับการรีบพยายามทำอย่างนั้น ต่อเมื่อถึงเวลา จึงควรทำไม่ใช่หรือ ? ”
     พระเถระตอบว่า
     “ ขอถวายพระพร เมื่อถึงเวลาแล้วความพยายามก็จะไม่ทำสิ่งนั้นให้สำเร็จไปความรีบพยายามนั้นแหละ จะทำสิ่งนั้นให้สำเร็จไป ”
     “ ขอนิมนต์อุปมาด้วย ”
     อุปมาการขุดน้ำ
     “ ขอถวายพระพร มหาบพิตรจะเข้าใจความข้อนี้อย่างไร…คือ เมื่อใดมหาบพิตรอยากเสวยน้ำ เมื่อนั้นมหาบพิตรจึงจะให้ขุดที่มีน้ำให้ขุดสระโบกขรณี ให้ขุดเหมืองน้ำว่า เราจักดื่มน้ำอย่างนั้นหรือ ? ”
     “ ไม่ใช่อย่างนั้น พระผู้เป็นเจ้า ”
     “ ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ มหาบพิตร เมื่อถึงเวลาแล้วความพยายามไม่สำเร็จประโยชน์ความรีบพยายามไว้ก่อนนั้นแหละ จึงจะสำเร็จประโยชน์ ”
     “ ขอนิมนต์อุปมาให้ยิ่งขึ้นไป ”
     อุปมาการไถนา
     “ ขอถวายพระพร เมื่อใดมหาบพิตรหิว เมื่อนั้นหรือ…มหาบพิตรจึงจักให้ไถนา ปลูกข้าวสาลี หว่านพืช ขนข้าวมา หรือปลูกข้าวเหนียว ด้วยรับสั่งว่า เราจักกินข้าว ? ”
     “ ทำอย่างนั้นไม่ได้ พระผู้เป็นเจ้า ”
     “ ขอนี้ก็ฉันนั้นแหละ มหาบพิตร เมื่อถึงเวลาแล้วความพยายามไม่สำเร็จประโยชน์ความรีบพยายามไว้ก่อนนั้นแหละ จึงจะสำเร็จประโยชน์ ”
     “ ขอนิมนต์อุปมาให้ยิ่งขึ้นไปอีก ”
     อุปมาการทำสงคราม
     “ ขอถวายพระพร เมื่อใดสงครามมาติดบ้านเมือง เมื่อนั้นหรือ…มหาบพิตรจึงจะให้ขุดคู สร้างกำแพง สร้างเขื่อน สร้างป้อม ขนเสบียงอาหารมาไว้ ให้ฝึกหัดช้าง ม้า รถ ธนู ดาบ ? ”
     “ ทำอย่างนั้นไม่ได้ พระผู้เป็นเจ้า ”
     “ ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ มหาบพิตร เมื่อถึงเวลาแล้วความพยายามไม่สำเร็จประโยชน์ความรีบพยายามไว้ก่อนนั้นแหละ จึงจะสำเร็จประโยชน์ ข้อนี้สมกับที่สมเด็จพระบรมโลกนาถศาสดาจารย์ตรัสประทานไว้ว่า ”
     “ บุคคลรู้ว่าสิ่งใดเป็นประโยชน์แก่ตนควรรีบทำสิ่งนั้น ผู้มีความคิด มีความรู้ มีความบากบั่น ไม่ควรเอาเยี่ยงอย่างพ่อค้าเกวียน คือ พ่อค้าเกวียนทิ้งทางเก่า อันเป็นทางเสมอ กว้างใหญ่ดี แล้วขับเกวียนไปในทางใหม่ ที่เป็นทางไม่เสมอดี เวลาเพลาเกวียนหักแล้วก็ซบเซาฉันใด
บุคคลผู้โง่เขลาหลีกออกจากธรรมะไม่ประพฤติตามธรรม จวนจะใกล้ตายก็จะต้องซบเซา เหมือนพ่อค้าเกวียนที่มีเพลาเกวียนหักไปแล้วฉะนั้น ”
     “ ดังนี้ ขอถวายพระพร ”
     “ พระผู้เป็นเจ้ากล่าวสมควรแล้ว ”

  •  ปัญหาที่ ๖ ถามถึงความร้อนแห่งไฟนรก


     พระเจ้ามิลินท์ตรัสถามว่า
     “ ข้าแต่พระนาคเสน พระผู้เป็นเจ้ากล่าวไว้ว่า ไฟนรกร้อนมากว่าไฟปกติ ก้อนหินน้อย ๆ ทิ้งลงไปในไฟปกติ ไฟเผาอยู่ตลอดวันก็ไม่ย่อยยับ ส่วนก้อนหินโตเท่าปราสาททิ้งลงไปในไฟนรก ก็ย่อยยับไปในขณะเดียวดังนี้ คำนี้โยมไม่เชื่อถึงคำที่พระผู้เป็นเจ้ากล่าวไว้ว่า พวกสัตว์นรกอยู่ในนรกได้ตั้งพัน ๆ ปีก็ไม่ย่อยยับไป ดังนี้ คำนี้โยมก็ไม่เชื่อ ”
     พระเถระตอบว่า


     “ ขอถวายพระพร มหาบพิตรจะเข้าพระทัยอย่างไร…คือ พวกนกยูง ไก่ป่า มังกร จระเข้ เต่า ย่อมกินก้อนหินแข็ง ๆ ก้อนกรวดแข็ง ๆ จริงหรือ ? ”
     “ เออ…โยมได้ยินว่าจริงนะ พระผู้เป็นเจ้า ”
     “ ขอถวายพระพร ก้อนหินก้อนกรวดเหล่านั้น เข้าไปอยู่ภายในท้องของสัตว์เหล่านั้นแล้ว แหลกย่อยยับไปหรือไม่ ? ”
     “ แหลกย่อยยับไป พระผู้เป็นเจ้า ”
     “ ขอถวายพระพร ก็สัตว์ที่อยู่ในท้องของสัตว์เหล่านั้น แหลกย่อยยับไปไหน ? ”
     “ ไม่แหลกย่อยยับไป พระผู้เป็นเจ้า ”
     “ เพราะอะไร มหาบพิตร ? ”
     “ โยมเข้าใจว่า เพราะกรรมคุ้มครองไว้ ”
     “ ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ มหาบพิตร พวกสัตว์นรกถึงจะถูกไฟไหม้อยู่ในนรกตั้งหลายพันปีก็ไม่ย่อยยับไป เพราะกรรมคุ้มครองไว้ พวกสัตว์นรกเหล่านั้น เกิดอยู่ในนรก เจริญอยู่ในนรก ตายอยู่ในนรก ”
     ข้อนี้สมกับที่สมเด็จพระชินสีห์ตรัสไว้ว่า
     “ บาปกรรมนั้นยังไม่สิ้นตราบใด สัตว์นรกก็ยังไม่ตายตราบนั้น ”
     “ ขอนิมนต์อุปมาด้วย ”
     อุปมาด้วยราชสีห์
     “ ขอถวายพระพร มหาบพิตรจะเข้าพระทัยความข้อนี้อย่างไร…คือ ราชสีห์ เสือโคร่ง เสือเหลืองตัวเมีย ย่อมเคี้ยวกินของแข็ง ๆ เคี้ยวกินกระดูก เคี้ยวกินเนื้อมีอยู่หรือ ? ”
     “ มีอยู่ พระผู้เป็นเจ้า ”
     “ ขอถวายพระพร กระดูกที่เข้าไปอยู่ในท้องของสัตว์เหล่านั้นแหลกย่อยไปไหม ? ”
     “ แหลกย่อยไป พระผู้เป็นเจ้า ”
     “ ขอถวายพระพร ลูกในท้องสัตว์เหล่านั้นแหลกย่อยยับไปไหม ? ”
     “ ไม่แหลก พระผู้เป็นเจ้า ”
     “ เพราะอะไร มหาบพิตร ? ”
     “ โยมเข้าใจว่า เป็นเพราะกรรมรักษาไว้ แต่ขอนิมนต์อุปมาให้ยิ่งขึ้นไป ”
     อุปมาด้วยนกหัวขวาน
     “ ขอถวายพระพร มหาบพิตรจะเข้าพระทัยความข้อนี้อย่างไร…คือ นกหัวขวาน นกยูง ย่อมเคี้ยวกินไม้อันแข็งมีอยู่หรือ ? ”
     “ มีอยู่ พระผู้เป็นเจ้า ”
     “ ไม้อันแข็งเหล่านั้น เข้าไปอยู่ในท้องของนกหัวขวาน นกยูงเหล่านั้นแล้ว ย่อยยับไปหรือไม่ ? ”
     “ ย่อยยับไป พระผู้เป็นเจ้า ”
     “ ขอถวายพระพร ลูกนกหัวขวานที่อยู่ในท้อง ย่อยยับไปหรือไม่ ? ”
     “ ไม่ย่อยยับไป พระผู้เป็นเจ้า ”
     “ เพราะอะไร มหาบพิตร ? ”
     “ โยมเข้าใจ เพราะกรรมรักษาไว้ ขอนิมนต์อุปมาให้ยิ่งขึ้นไปอีก ”
     อุปมาด้วยสตร
     “ ขอถวายพระพร มหาบพิตรจะเข้าพระทัยความข้อนี้อย่างไร…คือ นางโยนก นางกษัตริย์ นางพราหมณ์ นางคฤหบดี ที่มีความสุขมาแต่กำเนิด ได้เคี้ยวกินของแข็ง ขนม ผลไม้ เนื้อ ปลาต่าง ๆ หรือไม่ ? ”
     “ เคี้ยวกิน พระผู้เป็นเจ้า ”
     “ ของเหล่านั้นตกเข้าไปอยู่ในท้องของหญิงเหล่านั้นแล้ว ย่อยยับไปหรือไม่ ? ”
     “ ย่อยยับไป พระผู้เป็นเจ้า ”
     “ ก็ลูกในท้องของหญิงเหล่านั้น ย่อยยับไปหรือไม่ ? ”
     “ ไม่ย่อยยับไป พระผู้เป็นเจ้า ”
     “ เพราะอะไร มหาบพิตร ? ”
     “ โยมเข้าใจว่า เป็นเพราะกรรมคุ้มครองไว้ ”
     “ ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ มหาบพิตร คือ พวกสัตว์นรกถึงจะถูกไฟไหม้ในนรกตั้งหลายพันปี ก็ไม่ย่อยยับไป สัตว์นรกเหล่านั้น เกิดอยู่ในนรก เจริญอยู่ในนรก ตายอยู่ในนรก ข้อนี้สมกับที่สมเด็จพระทศพลตรัสไว้ว่า ”
      “ บาปกรรมที่เขาทำไว้ยังไม่สิ้นตราบใดเขาก็ยังไม่ตายตราบนั้น ”
     “ สมควรแล้ว พระผู้เป็นเจ้า ”

  •  ปัญหาที่ ๗ ถามถึงเรื่องเครื่องรองแผ่นดิน


     “ ข้าแต่พระนาคเสน พระผู้เป็นเจ้ากล่าวไว้ว่า แผ่นดินใหญ่นี้ตั้งอยู่บนน้ำ น้ำตั้งอยู่บนลม ลมตั้งอยู่บนอากาศ ดังนี้ คำนี้โยมไม่เชื่อ ”
     พระเถระเมื่อจะวิสัชนาแก้ไข จึงได้เอาธันกรก คือ กระบอกกรองน้ำ ตักน้ำขึ้นมาแล้วก็เอามือปิดปากธัมกรกไว้ เพื่อมิให้น้ำไหลลงไปได้ ถือไว้ให้พระเจ้ามิลินท์ทอดพระเนตรแล้ว พร้อมกับถวายพระพรว่า
     “ มหาบพิตรจงทรงสังเกตดูธัมกรกนี้เถิดลมทรงไว้ซึ่งน้ำในกระบอกนี้ฉันใด ถึงน้ำที่รองแผ่นดิน ลมก็รับไว้ฉันนั้น ”
     “ ถูกแล้ว พระผู้เป็นเจ้า ” 

  •  ปัญหาที่ ๘ ถามถึงเรื่องนิโรธนิพพาน


     “ ข้าแต่พระนาคเสน นิโรธ คือ นิพพาน หรือ ? ”
     “ ถูกแล้ว มหาบพิตร ”
     “ ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า อย่างไรจึงว่านิโรธคือนิพพาน ? ”
     “ ขอถวายพระพร อันว่าพาลปุถุชนทั้งหลาย ย่อมเพลิดเพลิดยินดีใน อายตนะภายในภายนอก ( ยินดีในรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ) จึงถูกกระแสตัณหาพัดไป จึงไม่พ้นจากการเกิด แก่ ตาย โศกร่ำไร ไม่สบายกาย ไม่สบายใจ และคับแค้นใจ
     ส่วนอริยสาวกผู้ได้สดับคำสอนพระพุทธเจ้าแล้ว ย่อมไม่เพลิดเพลินยินดีในอายตนะภายในภายนอก เมื่อไม่เพลิดเพลินยินดี ตัณหาก็ดับไป เมื่อตัณหาดับ อุปทานก็ดับ เมื่ออุปทานดับ ภพก็ดับ เมื่อภพดับ ชาติก็ดับ เมื่อชาติ คือ การเกิดดับ ความโศก ความร่ำไร ความไม่สบายกาย ไม่สบายใจ และความคบแค้นใจก็ดับ เป็นอันว่า ความดับแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้ ย่อมมีด้วยอาการอย่างนี้ อย่างนี้แหละมหาบพิตร จึงว่า นิโรธ คือ นิพพาน ”
     “ ถูกต้องดีแล้ว พระผู้เป็นเจ้า ”

  •  ปัญหาที่ ๙ ถามเรื่องการได้นิพพาน


     “ ข้าแต่พระนาคเสน บุคคลทั้งหลายได้นิพพานเหมือนกันหมดหรือ ? ”
     “ ขอถวายพระพร ไม่ได้นิพพานเหมือนกันหมด ”
     “ เหตุไฉนจึงไม่ได้ ? ”
     “ ขอถวายพระพร ผู้ใดปฏิบัติดี รู้ยิ่งซึ่งธรรมที่ควรรู้ รอบรู้ธรรมที่ควรรอบรู้ละธรรมที่ควรละ อบรมธรรมที่ควรอบรมกระทำให้แจ้งซึ่งธรรมที่ควรทำให้แจ้ง ผู้นั้นก็ได้นิพพาน ”
     “ ถูกต้อง พระผู้เป็นเจ้า ”

  •  ปัญหาที่ ๑๐ ถามเรื่องรู้จักความสุขในนิพพาน


     “ ข้าแต่พระนาคเสน ผู้ที่ยังไม่ได้นิพพานรู้หรือไม่ว่านิพพานเป็นสุข ? ”
     “ ขอถวายพระพร…รู้ คือผู้ยังไม่ได้นิพพาน ก็รู้ว่านิพพานเป็นสุข ”
     “ ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ผู้ที่ยังไม่ได้นิพพานทำไมจึงรู้ว่านิพพานเป็นสุข ? ”
     “ ขอถวายพระพร พวกใดไม่ถูกตัดมือ ตัดเท้า พวกนั้นรู้หรือไม่ว่า การตัดมือตัดเท้าเป็นทุกข์ ? ”
     “ อ๋อ..รู้ซิ พระผู้เป็นเจ้า ”
     “ เหตุไฉนจึงรู้ล่ะ ? ”
     “ รู้ด้วยเขาได้ยินเสียงผู้ถูกตัดมือตัดเท้าร้องไห้ครวญคราง ”
     “ ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ มหาบพิตร พวกที่ยังไม่ได้นิพพาน ก็รู้ได้ว่านิพพานเป็นสุข เพราะได้ยินเสียงพวกได้นิพพาน ”
     “ ถูกดีแล้ว พระผู้เป็นเจ้า ”
จบวรรคที่ ๔

  •  มิลินทปัญหา วรรคที่ ๕
  •  ปัญหาที่ ๑ ถามเรื่องความมีและความไม่มีแห่งพระพุทธเจ้า


     พระเจ้ามิลินท์ตรัสถามว่า
     “ ข้าแต่พระนาคเสน พระผู้เป็นเจ้าได้เห็นพระพุทธเจ้าหรือ ? ”
     พระเถระตอบว่า
     “ ไม่ได้เห็น ขอถวายพระพร ”
     “ ถ้าอย่างนั้น อาจารย์ของพระผู้เป็นเจ้าได้เห็นหรือ ? ”
     “ ขอถวายพระพร อาจารย์ก็ไม่ได้เห็น ”
     “ ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ถ้าอย่างนั้นพระพุทธเจ้าก็ไม่มี ”
     “ ขอถวายพระพร มหาบพิตรได้เห็นโอหานที คือ สะดือทะเลหรือไม่ ? ”
     “ ไม่ได้เห็น พระผู้เป็นเจ้า ”
     “ ถ้าอย่างนั้น พระราชบิดาของพระองค์ได้เห็นหรือไม่ ? ”
     “ ไม่ได้เห็น พระผู้เป็นเจ้า ”
     “ ถ้าอย่างนั้นสะดือทะเลก็ไม่มี ”
     “ ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ถึงโยมและพระราชบิดาของโยม ไม่ได้เห็นสะดือทะเลก็จริงแหล่ แต่ทว่าสะดือทะเลมีอยู่เป็นแน่ ”
     “ ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ มหาบพิตร ถึงอาตมาและอาจารย์ของอาตมา ไม่ได้เห็นพระพุทธเจ้าก็จริง แต่พระพุทธเจ้ามีอยู่แน่ ขอถวายพระพร ”
     “ พระผู้เป็นเจ้าแก้ถูกต้องดีแล้ว ” 

  •  ปัญหาที่ ๒ ถามเรื่องความยิ่งใหญ่แห่งพระพุทธเจ้า


     “ ข้าแต่พระนาคเสน พระพุทธเจ้าไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่าหรือ ? ”
     “ ขอถวายพระพร จริง ”
     “ พระผู้เป็นเจ้ารู้ได้อย่างไรว่า พระพุทธเจ้าไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่า เพราะพระผู้เป็นเจ้าไม่ได้เห็น ?”
     “ ขอถวายพระพร มหาบพิตรจะเข้าพระทัยความข้อนี้อย่างไร...คือพวกที่ไม่ได้เห็นมหาสมุทร รู้หรือไม่ว่ามหาสมุทรอันกว้างใหญ่ มีน้ำลึกประมาณไม่ได้ หยั่งถึงพื้นได้ยาก เป็นที่ไหลไปรวมอยู่แห่งแม่น้ำใหญ่ทั้ง ๕ คือ คงคา ยมุนา อจิรวดี สรภู มหิ ความพร่องหรือความเต็มแห่งมหาสมุทรนั้นไม่ปรากฏแม่น้ำใหญ่ทั้ง ๕ ก็ไหลไปสู่มหาสมุทรเนือง ๆ ? ”
     “ รู้ พระผู้เป็นเจ้า ”
     “ ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ มหาบพิตร คือ อาตมภาพได้เห็นพระสาวกทั้งหลายผู้เป็นพระอรหันต์ ผู้สำเร็จนิพพานมีอยู่ จึงรู้ว่าพระพุทธเจ้าเป็นผู้เยี่ยมไม่มีใครเทียมถึง ”
     “ พระผู้เป็นเจ้าแก้ถูกต้องดีแล้ว ”

  •  ปัญหาที่ ๓ ถามเรื่องการรู้ความยิ่งใหญ่ของพระพุทธเจ้า


     “ ข้าแต่พระนาคเสน พระผู้เป็นเจ้าอาจรู้หรือไม่ว่า พระพุทธเจ้าเป็นผู้เยี่ยมไม่มีใครยิ่งกว่า ? ”
     “ อาจรู้ ขอถวายพระพร ”
     “ อาจรู้ได้อย่างไร ? ”
     “ ขอถวายพระพร เมื่อก่อนมีอาจารย์เลของค์หนึ่ง ชื่อว่า พระติสสเถระ มีชื่อเสียงโด่งดังอยู่หลายปี แต่ถึงมรณภาพไปแล้วอาจารย์เลของค์นั้น ทำไมชื่อจึงยังปรากฏอยู่ ? ”
     “ ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า อาจารย์เลของค์นั้นยังปรากฏอยู่ เป็นด้วยเลขที่ท่านบอกไว้ ”
     “ ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ มหาบพิตร คือ ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นก็ได้เห็นพระพุทธเจ้า เพราะธรรมเป็นของที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ ”
     “ สมควรแล้ว พระผู้เป็นเจ้า ”

  •  ปัญหาที่ ๔ ถามเรื่องการเห็นธรรม


     “ ข้าแต่พระนาคเสน พระผู้เป็นเจ้าได้เห็นธรรมะแล้วหรือ ? ”
     “ ขอถวายพระพร ธรรมะอันพระพุทธเจ้าทรงแนะนำสั่งสอนสาวก อันพระพุทธเจ้าทรงบัญญัติไว้แล้ว พระสาวกควรปฏิบัติตามจนตลอดชีวิต ”
     “ แก้ถูกต้องดีแล้ว พระผู้เป็นเจ้า ”

ฏีกามิลินท์
เพราะเหตุไร...พระนาคเสนจึงไม่ตอบว่าอาตมภาพได้เห็นธรรมะแล้ว ?
แก้ว่า...เพราะเหตุว่าพระเจ้ามิลินท์รู้แน่แล้วว่า พระเถระได้เห็นธรรมะแล้ว แต่อยากจะฟังคำตอบอันวิจิตร จึงตรัสถามเพื่อผู้ที่ยังไม่รู้ พระเถระทราบพระอัธยาศัยของพระเจ้ามิลินท์แล้ว จึงได้ตอบอย่างนั้น

  •  ปัญหาที่ ๕ ถามถึงความไม่ก้าวย่างไปแห่งผู้จะเกิด


     “ ข้าแต่พระนาคเสนผู้ประเสริฐ ผู้ที่จะไปเกิดใหม่นั้น ไม่ได้ก้าวย่างไปด้วย แต่ถือกำเนิดได้ด้วยอย่างนั้นหรือ ? ”
     “ อย่างนั้น มหาบพิตร”
     “ ถ้าอย่างนั้นขอนิมนต์อุปมา ”
     “ ขอถวายพระพร เปรียบเหมือนว่าบุรุษผู้หนึ่งเอาประทีปมาต่อประทีป ประทีปจะก้าวไปจากประทีปเก่าหรือไม่ ? ”
     “ ไม่ก้าวไป พระผู้เป็นเจ้า ”
     “ ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ มหาบพิตร ”
     “ ขอนิมนต์อุปมาอีก ”
     “ ขอถวายพระพร มหาบพิตรคงจำได้ว่าในเวลาที่พระองค์ยังทรงพระเยาว์ มีพระชันษาได้ ๑๐ ได้รับวิชาเลขและวิชากการต่าง ๆ ในสำนักอาจารย์หรือ ? ”
     “ ได้รับ พระผู้เป็นเจ้า ”
     “ ขอถวายพระพร วิชาเลขและศิลปะต่าง ๆ นั้น ก้าวย่างไปจากอาจารย์หรือไม่ ? ”
     “ ไม่ พระผู้เป็นเจ้า ”
     “ ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ มหาบพิตร ผู้ที่จะไปเกิดใหม่นั้น ไม่ได้ก้าวย่างไปเลย แต่ถือกำเนิดได้ ”
     “ ถูกต้องดีแล้ว พระผู้เป็นเจ้า ”

  •  ปัญหาที่ ๖ ถามถึงผู้สำเร็จเวทย์


     “ ข้าแต่พระนาคเสน บุคคลผู้ถึงเวทย์มีอยู่หรือไม่ ? ”
     “ ขอถวายพระพร เมื่อว่าตามปรมัตถ์แล้ว...ไม่มี ”
     “ ถูกแล้ว พระผู้เป็นเจ้า ”

  •  ปัญหาที่ ๗ ถามถึงการก้าวไปแห่งสภาพ


     “ ข้าแต่พระนาคเสน สภาพอย่างใดอย่างหนึ่ง ก้าวไปจากกายนี้สู่กายอื่นมีอยู่หรือ ? ”
     “ ขอถวายพระพร ไม่มีเลย ”
     “ ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ถ้าสภาพอย่างใดอย่างหนึ่ง ก้าวจากกายนี้ไปสู่กายอื่นไม่มี บุคคลก็จะพ้นจากบาปกรรมทั้งหลายมิใช่หรือ ”
     “ ขอถวายพระพร ถ้าเขาไม่เกิดอีก ก็จะพ้นจากบาปกรรมทั้งหลาย แต่เพราะเขายังเกิดอยู่ เขาจึงไม่พ้นจากบาปกรรมทั้งหลาย ”
     “ ขอนิมนต์อุปมาด้วย ”
     “ ขอถวายพระพร เปรียบเช่นเดียวกับบุรุษคนหนึ่ง ขโมยมะม่วงที่ผู้อื่นปลูกไว้ เขาควรจักต้องได้รับโทษหรือไม่ ? ”
     “ ควรได้รับโทษ พระผู้เป็นเจ้า ”
     “ ขอถวายพระพร มะม่วงที่บุรุษนั้นขโมยไป ไม่ใช่มะม่วงลูกที่บุรุษนั้นปลูกไว้เหตุใดผู้ขโมยจึงควรได้รับโทษ ”
     “ ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า มะม่วงเหล่านั้นอาศัยมะม่วงลูกที่บุรุษนั้นปลูกไว้ จึงเกิดเป็นลำดับขึ้น เพราะฉะนั้น ผู้ขโมยจึงควรได้รับโทษ ”
     “ ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ มหาบพิตร คือบุคคลย่อมทำกรรมดีหรือชั่วไว้ด้วย นามรูปนี้ แล้ว นามรูปอื่น ก็เกิดขึ้นด้วยกรรมนั้น เพราะฉะนั้น เขาจึงไม่พ้นจากบาปกรรม ”
     “ แก้ดีแล้ว พระผู้เป็นเจ้า ”

  •  ปัญหาที่ ๘ ถามถึงที่อยู่แห่งผลกรรม


     “ ข้าแต่พระนาคเสน กรรมดีและกรรมชั่ว ที่บุคคลทำด้วยนามรูปนี้ไปอยู่ที่ไหน ? ”
     “ ขอถวายพระพร ติดตามผู้ทำไปเหมือนกับเงาตามตัว ”
     “ ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า อาจชี้กรรมเหล่านั้นได้หรือไม่ว่า กรรมเหล่านั้นอยู่ที่ไหน ? ”
     “ ขอถวายพระพร ไม่อาจชี้ได้ ”
     “ ขอถวายพระพร เปรียบเหมือนต้นไม้ที่ยังไม่มีผล มหาบพิตรอาจชี้ได้หรือไม่ว่าผลอยู่ที่ไหน ? ”
     “ ไม่อาจชี้ได้ พระผู้เป็นเจ้า ”
     “ ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ มหาบพิตร เมื่อการสืบต่อยังไม่ขาด ก็ไม่อาจชี้กรรมเหล่านั้นได้ว่ากรรมเหล่านั้นอยู่ที่ไหน ”
     พระเจ้ามิลินท์จึงตรัสว่า
     “ ถูกดีแล้ว พระผู้เป็นเจ้า ”

  •  ปัญหาที่ ๙ ถามถึงความรู้สึกของผู้จะเกิดอีก


     “ ข้าแต่พระนาคเสน ผู้ใดจะเกิด ผู้นั้นรู้หรือว่า เราจะเกิด ? ”
     “ ขอถวายพระพรรู้ ”
     “ ขอนิมนต์อุปมาด้วย ”
     “ ขอถวายพระพร เหมือนอย่างชาวนาหว่านพืชลงที่แผ่นดินแล้ว เมื่อฝนตกดีเขารู้หรือว่า พืชจักงอกงามขึ้น ? ”
     “ รู้พระผู้เป็นเจ้า ”
     “ ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ มหาบพิตร คือผู้ใดจะเกิด ผู้นั้นก็รู้ว่า เราจักเกิด ”
     “ ชอบแล้ว พระผู้เป็นเจ้า ”

  •  ปัญหาที่ ๑๐ ถามเรื่องที่อยู่ของพระพุทธเจ้าที่ปรินิพพาน


     “ ข้าแต่พระนาคเสน พระพุทธเจ้ามีจริงหรือ ? ”
     “ ขอถวายพระพร มีจริง ”
     “ พระผู้เป็นเจ้าอาจชี้ได้หรือไม่ว่า พระพุทธเจ้าอยู่ที่ไหน ? ”
     “ ขอถวายพระพร พระพุทธเจ้าปรินิพพานด้วยการดับขันธ์แล้ว ไม่อาจชี้ได้ว่าอยู่ที่ไหน ”
     “ ขอนิมนต์อุปมาด้วย ”
     “ ขอถวายพระพร เปลวไฟที่ดับไปแล้วมหาบพิตรอาจชี้ได้หรือไม่ว่า เปลวไฟนั้นไปอยู่ที่ไหน ? ”
     “ ไม่ได้ พระผู้เป็นเจ้า เพราะเปลวไฟนั้นถึงซึ่งความไม่มีบัญญติแล้ว ”
     “ ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ มหาบพิตร พระพุทธเจ้าดับขันธปรินิพพานไปแล้ว ก็ไม่มีใครอาจชี้ได้ว่าไปอยู่ที่ไหน อาจชี้ได้เพียง พระธรรมกาย ของพระพุทธเจ้าเท่านั้น ”
     “ พระผู้เป็นเจ้าวิสัชนานี้สมควรแล้ว ”


 จบวรรคที่ ๕

http://www.dhammathai.org/milin/milin09.php